ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
30 คาสั่งของศาลตาม (1) และ (2) และคาวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่าง ศาลที่เกี่ยวกับเขตอานาจศาลตามวรรคหนึ่ง (3) ให้เป็นที่สุด และมิให้ศาลที่อยู่ในลาดับสูงขึ้นไปของศาลที่ส่ง ความเห็นและศาลที่รับความเห็นยกเรื่องเขตอานาจศาลขึ้นพิจารณาอีก ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ในกรณีที่มีการฟูองคดีต่อศาลใด ถ้าศาลที่รับฟูองเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในเขตอานาจของอีกศาลหนึ่ง ศาลที่รับฟูองอาจรอการพิจารณาไว้ชั่วคราวก็ได้ และให้จัดทาความเห็นส่งไปให้ศาลอีกศาลหนึ่งที่เห็นว่าคดีนั้น อยู่ในเขตอานาจโดยเร็ว ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดาเนินการ ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ด้วยโดยอนุโลม ตามมาตรา 10 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ในกรณีที่ศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็น มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอานาจศาล ในคดีนั้น และศาลที่ส่งความเห็นได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด ตามมาตรา 10 วรรค หนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ในกรณีที่ คณะกรรมการได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในเขตอานาจของศาลที่รับฟูอง ให้ศาลนั้นดาเนินกระบวนพิจารณา ต่อไป แต่ถ้าวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในเขตอานาจของอีกศาลหนึ่ง ให้ศาลที่รับฟูองสั่งโอนคดีหรือสั่งจาหน่ายคดี เพื่อให้คู่ความไปฟูองศาลที่มีเขตอานาจ ทั้งนี้ตามที่ศาลเห็นสมควรโดยคานึงถึงประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 ข้อสังเกต การที่ระบบศาลของประเทศไทยได้เปลี่ยนไปจากระบบศาลเดี่ยวเป็นระบบศาลคู่นั้น ย่อมก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมา คือ ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตอานาจศาล จึงจาเป็นต้องมีการกาหนดให้มี องค์กรใดองค์กรหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้มีอานาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเรื่องเขตอานาจศาล 10 ซึ่งในปัจจุบัน องค์กรที่มีอานาจหน้าที่ ดังกล่าวก็คือ “คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจหน้าที่ระหว่างศาล” 3. ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลตั้งแต่สองศาลขึ้นไป และศาลทั้งหลายดังกล่าวนั้นได้รับฟ้องไว้แล้ว แต่คู่ความหรือศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอานาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟ้องไว้ ในกรณีที่มีการนาคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกันฟูองต่อศาลที่มีเขตอานาจแตกต่างกันตั้งแต่สองศาล ขึ้นไป เช่น มีการนาคดีซึ่งมีข้อเท็จจริงเรื่องเดียวกัน ไปฟูองทั้งต่อศาลปกครองและศาลยุติธรรม เป็นต้น ถ้าคู่ความหรือศาลเห็นว่าคดีนั้นไม่อยู่ในเขตอานาจของศาลใดศาลหนึ่งที่รับฟูอง ให้นาความในมาตรา 10 และ มาตรา 11 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามมาตรา 12 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาด อานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 10 ธเนศ จันโททัย, “ระบบชี้ขาดข้อขัดแย้งระหว่างศาลยุติธรรมกับศาลปกครองในประเทศไทย ,” (วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2540), หน้า 152 -153 .
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3