แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม

95 6.5 การขัดกันของหน้าที่ (Incompatibility of Public Offices) การขัดกันของหน้าที่นั้นถูกนำมาใช้ในประเทศอังกฤษตั้งแต่ในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยที่หลักการขัดกันของหน้าที่นั้นเป็นหลักที่สืบเนื่องมาจากหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย ที่มีที่มา จากการป้องกันการแทรกแซงการทำงานของสภาโดยกษัตริย์ในประเทศอังกฤษ โดยการบัญญัติ ข้อกำหนดที่ห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหารเข้าดำรงตำแหน่งในสภา การขัดกันของหน้าที่จึง เป็นหลักที่ห้ามไม่ให้บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่งที่จะนำมาสู่ความขัดกันใน การตัดสินใจ และการทำหน้าที่ เพื่อป้องกันการทุจริตและคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ ตลอดจนช่วยในการส่งเสริมหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย ไม่ให้อำนาจที่แบ่งแยกถูกใช้โดยบุคคล เดียวกันจากการดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ที่จะทำให้ขัดต่อการแบ่งแยกอำนาจ อันเป็นลักษณะของการ แบ่งแยกตัวบุคคลที่ใช้อำนาจอธิปไตยออกจากกัน ดังนั้น การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ( conflict of interest) และการขัดกันของหน้าที่ (Incompatibility of Public Offices) จึงมีความต่างกัน โดย การขัดกันของหน้าที่นั้นอาจเป็นการทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของรัฐทั้งสองที่ขัดกัน เช่น อำนาจนิติ บัญญัติและอำนาจตุลาการ หรือประสิทธิภาพในการควบคุมอาชญากรรม (Crime control) และการ คุ้มครองสิทธิของประชาชน (Due proses) หากผู้ใช้อำนาจทั้งสองเป็นบุคคลคนเดียวกัน และกระทำ ไปเพื่อประโยชน์ของรัฐโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่า มีลักษณะ ของการขัดกันของผลประโยชน์ แต่มีลักษณะของการขัดกันของหน้าที่ ที่จะทำให้การทำหน้าที่เกิด ความบกพร่อง หรือไม่เหมาะสม เช่น ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพ 175 หลักการขัดกันของหน้าที่ และผลประโยชน์ทับซ้อน เมื่อพิจารณาร่วมกับการดำเนินคดีในชั้น เจ้าพนักงานของไทยที่มีการผูกขาดการค้นหาความจริงในเบื้องต้นไว้กับตำแหน่งเดียว คือ พนักงาน สอบสวนจะพบว่าในการใช้ดุลพินิจรวบรวมพยานหลักฐานขึ้นอยู่กับตำรวจเป็นหลัก อำนาจในการ สอบสวน และตั้งข้อหาในเวลาเดียวกัน จึงมีลักษณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร อธิบายไว้ว่า เป็นการขัดกันของหน้าที่ อันเป็นเรื่องเดียวกันกับการสวมหมวกหลายใบ เมื่อตำรวจต้องทำหน้าที่ทั้ง ปราบปรามอาชญากรรมและคุ้มครองสิทธิในเวลาเดียวกัน และในเรื่องของการขัดกันของ ผลประโยชน์ โดยจะเห็นได้ว่า หากพนักงานสอบสวนสามารถปรับบทความผิดให้หนักในการตั้งข้อหา ได้ ก็จะสามารถเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐได้โดยง่าย เนื่องด้วยความหนักเบาในการปรับบทความผิด ในการตั้งข้อหาเป็นเหตุสำคัญในการพิจารณาถึงความจำเป็นในการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐ ซึ่ง 175 รัฐวิทย์ เรืองประโคน. (2555). หลักขัดกันของตำแหน่งหน้าที่ของรัฐ: ศึกษากรณีบุคคล ดำรงตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติ และตำแหน่งฝ่ายบริหารในเวลาเดียวกัน. วิทยานิพนธ์หลักสูตร นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. น. 1

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3