แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม

110 การรวบรวมพยานหลักฐานจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคดีอาญาซึ่งจะต้องมี การตัดสินกันด้วยความจริงแท้ ซึ่งในอดีตแนวการปฏิบัติของพนักงานสอบสวนจะกระทำเพียงแต่การ แสวงหาพยานหลักฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงในการสนับสนุนข้อกล่าวหา เพื่อเอาผิดผู้ถูกกล่าวหา เท่านั้น ซึ่งเมื่อครบองค์ประกอบความผิดก็จะทำการสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอต่ออัยการ เพื่อสั่ง คดี หากไม่ครบองค์ประกอบความผิดก็สรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเสนอต่อ พนักงานอัยการเพื่อสั่งคดีต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 (ก่อนมีการแก้ไข) ที่วางหลักให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะ ทำได้ เพื่อประสงค์จะแสวงหาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา “เพื่อจะรู้ตัว ผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด” ทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานมิได้เป็นไปเพื่อการค้นหา ความจริง แต่กลับเป็นการเอาผิดผู้ถูกกล่าวหาโดยให้ความสำคัญกับพยานหลักฐานในส่วนที่เป็นโทษ แก่ผู้ต้องหา และไม่มีการกล่าวถึงการค้นหาพยานหลักฐานในด้านที่เป็นคุณหรือการพิสูจน์บริสุทธิ์ของ ผู้ถูกกล่าวหาไว้ในบทบัญญัติแต่อย่างใด ทำให้ผู้กระทำความผิดตกเป็นวัตถุแห่งการซักฟอก อันเป็น ลักษณะของกรรมในคดี การที่กฎหมายวางหลักเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของการตรวจสอบ ค้นหาความจริงในระบบปรปักษ์ ปัจจุบัน ผลจากการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ตามราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 22 ซึ่งจาก การมีผลบังคับใช้ได้เปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติและแนวคิดในการสอบสวนไปจากเดิมที่มีลักษณะของความ เป็นอำนาจนิยมของเจ้าพนักงาน และการตรวจสอบค้นหาความจริงในแบบระบบปรปักษ์ ไปเป็นการ ให้ความสำคัญกับความเป็นเสรีนิยมมากยิ่งขึ้น โดยเป็นกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิ และการตรวจสอบความจริงในดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ ทางปฏิบัติของเจ้าพนักงานตั้งแต่การจับกุม การสืบสวนสอบสวน จึงต้องเปลี่ยนแนวคิดให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย โดยเป็นการค้นหาความจริง “เพื่อผดุงความยุติธรรมมิใช่ เพื่อเอาผิดผู้ถูกกล่าวหา” ดังเช่นวิธีการในอดีต การรวบรวม พยานหลักฐานจึงต้องกระทำทั้งในทางการพิสูจน์ความผิดและในทางของการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของ ผู้ต้องหาในทั้งสองด้าน อันเป็นการค้นหาความจริงแท้ของเรื่อง ซึ่งทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานมี ความเป็นภาววิสัย กรณีจึงจะเป็นการชี้ขาดคดีกันด้วย “ความจริง” มิใช่เป็นลักษณะของการรวบรวม พยานหลักฐานเพียงให้ครบตามองค์ประกอบความผิดเพื่อฟ้องร้องผู้ต้องหา อันจะนำไปสู่การชี้ขาดคดี กันด้วย “ความจริงเพียงครึ่งเดียว” โดยละเลยส่วนพยานหลักฐานในส่วนที่เป็นคุณและปล่อยให้ ผู้ต้องหาไปปกป้องตนเองในชั้นศาล ด้วยเห็นว่า การทำความเห็นไม่ควรสั่งฟ้องนั้นก่อให้เกิดภาระใน การปฏิบัติหน้าที่แก่ตนมากกว่าการทำความเห็นควรสั่งฟ้อง ซึ่งนำไปสู่ลักษณะของการส่งบุคคลไป ทดลองในกระบวนการยุติธรรม

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3