แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม
120 ก. ความจริงของเรื่องที่มีการกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 เดิมซึ่งวางหลัก “ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อ ประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา” ใจความเดิมนั้น หมายถึงรวบรวมวัตถุแห่งคดี ที่ต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นคุณอยู่แล้ว ก่อนมีการปรับแก้ในปี พ.ศ. 2547 โดยเพิ่มเติมคำว่า “หรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา” เพื่อเน้นย้ำว่าต้องรวบรวม พยานหลักฐานที่เป็นคุณแก่ผู้ต้องหาด้วย เพราะไม่ใช่การดำเนินคดีในลักษณะคู่ปรปักษ์ และเพื่อจะ รู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดซึ่งเป็นความจริงเดียวกันกับที่กฎหมายวางหลักให้ต้องแจ้ง แก่ผู้ถูกกล่าวหาทราบหรือจำเลยในการแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ตามหลักฟังความทุกฝ่าย (Principle of “audi alteram partem”) กล่าวคือ เป็นความจริงในส่วนของ “เรื่องราวเกี่ยวกับการ กระทำของผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิด” เนื่องจากความจริงในส่วนนี้เป็น “สิ่งที่เป็นเนื้อหา ที่ต้องพิสูจน์ในการดำเนินคดีอาญา” จึงเป็นวัตถุแห่งคดี (Object of proceeding) ในคดีอาญา ที่จะ ส่งต่อจากชั้นเจ้าพนักงานไปยังชั้นศาลในรูปของคำฟ้องโดยเป็นเรื่องราวที่จะทำให้สามารถตอบคำถาม ได้ว่า ใคร ทำอะไร เพราะเหตุใด ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากพยานหลักฐานที่สามารถ ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงย่อย ๆ ที่เกี่ยวข้องจนปะติดปะต่อเกี่ยวโยงกันเป็นเรื่องราวของการกระทำที่ถูก กล่าวหา ข. ความจริงเกี่ยวกับตัวบุคคลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 138 เช่น ประวัติการกระทำความผิด สภาวะแห่งจิตของผู้กระทำ ครอบครัว นิสัย และความประพฤติ ซึ่งจะทำ ให้เรื่องราวของการกระทำครบถ้วน เมื่อรวมเข้ากับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดแล้วจะเป็น ข้อมูลซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดโทษผู้กระทำความผิดได้อย่างเหมาะสมกับตัวบุคคล ตาม หลักการกำหนดโทษรายบุคคล (Individual of punishment) และวิธีการปฏิบัติในดำเนินคดีที่ ถูกต้องกับผู้ต้องหารายนั้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติมักให้ความสำคัญกับความจริงเกี่ยวกับตัวบุคคลค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีนักกฎหมายบางส่วนเห็นว่า ในการถามประวัติเพื่อ “…ทราบความเป็นมาแห่งชีวิตและ ความประพฤติอันเป็นอาจิณของผู้ต้องหาตามนัยของมาตรา 138 อีกด้วย ถ้าพนักงานสอบสวน ประสงค์จะสอบสวนต่อไปในเรื่องดังกล่าวนี้” 218 หรือเพราะไม่เกี่ยวกับประเด็นในเรื่องของการกระทำ ความผิดของจำเลย จึงตีความว่ามาตรา 138 เป็นอำนาจที่อยู่ภายใต้ดุลพินิจมิได้บังคับให้ต้องกระทำ นอกจากนี้ “การสอบสวนตามมาตรา 138 ไม่ปรากฏว่าได้กระทำกันในทางปฏิบัติ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ 218 คนึง ฦๅไชย. (2561). กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 11 กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. น. 333
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3