แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม

121 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการเสนอความเป็นมาแห่ง ชีวิตของจำเลยต่อศาลเพื่อให้ศาลลงโทษผู้กระทำความผิดเป็นราย ๆ ไป” 219 นักกฎหมายอีกส่วนกลับเห็นว่า “การที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับ ความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดนั้น พนักงานสอบสวนจะ รวบรวมพยานหลักฐานที่ยันผู้ต้องหาอย่างเดียวหาไม่ได้ แต่ต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นผลดีแก่ ผู้ต้องหาด้วย เพราะในคดีอาญานั้นต้องตัดสินกันด้วยความจริง และการที่จะวินิจฉัยว่าสิ่งใดจริง หรือไม่อย่างไร ต้องพิจารณาโดยการฟังความทุกฝ่ายมิใช่ฝ่ายเดียว การสอบสวนจึงต้องมีความเป็น ภาววิสัย” ส่วนพยานหลักฐานตามมาตรา 138 นั้น เห็นว่าต้องรวบรวมด้วยเพราะข้อเท็จจริงในส่วนนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ ดุลพินิจกำหนดโทษของศาล และอาจเป็นส่วนที่ เป็นคุณแก่จำเลย 220 เหตุที่นักกฎหมายมีทัศนคติดังกล่าวเกิดจากอดีตซึ่งตำรวจ อัยการ ศาล มองกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาเป็นระบบกล่าวหาแบบอังกฤษ ซึ่งเป็นการดำเนินคดีในลักษณะคู่ปรปักษ์ก่อนจะ เปลี่ยนมาใช้ระบบประมวลกฎหมาย และส่งผ่านมาถึงยุคปัจจุบันผ่านการเรียนการสอนกฎหมาย ทำ ให้แม้ตัวบทกฎหมายจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ทัศนคติของผู้ปฏิบัติยังคงเดิมอยู่ คือการสอบสวน เป็นเพียง ขั้นรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานในเบื้องต้นเพื่อทราบว่าคดีมีมูลพอฟ้องหรือไม่เท่านั้น ส่วน การพิจารณาของศาลเป็นการพิจารณาว่าจะลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องมาหรือไม่ ทำให้การ ตรวจสอบในชั้นนี้จึงไม่ละเอียดลงลึก และไม่ครบถ้วนโดยท่านศาสตรจารย์พิเศษเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ในสำนวนการสอบสวนทั้งหมดพยานหลักฐานส่วน ใหญ่จึงเป็นไปในทางปรักปรำผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด…” เพราะในทางปฏิบัติทัศนคติของเจ้า พนักงานมีอิทธิพลอย่างมาก เพราะการรวบรวมพยานหลักฐานนั้นเป็นเรื่องของดุลพินิจ (ฎีกาที่ 3334/2558) และเมื่อมาตรฐานการฟ้องของอัยการไม่มีกฎหมายกำหนดเอาไว้ การดำเนินคดีในชั้น ศาลจึงเป็นชั้นหลัก ข้อหาซึ่งมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวบุคคลอยู่น้อยจึงส่งผลให้การดำเนินคดีอาญาไม่อาจมีการ บริหารกระบวนการที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการนำข้อมูลในส่วนนี้ไปสู่ “ช่องทางในการดำเนินคดี ที่เหมาะสม” และ “การบังคับโทษที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล” ทำให้การดำเนินคดีกลายเป็นดัง สายพานการลำเลียงผู้กระทำความผิดที่ถูกส่งต่อเป็นทอด ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางคือการบังคับ โทษกับผู้กระทำความผิดด้วยการจำคุก ทั้งที่โทษจำคุกนั้นส่งผลเสียในเรื่องของ การถูกตีตราจาก 219 เรื่องเดียวกัน. น. 370 220 คณิต ณ นคร. (2555). กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพ: วิญญู ชน. น. 521

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3