แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม
153 รักษาผลประโยชน์ของรัฐ และการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น อำนาจในการสั่งฟ้องของ พนักงานอัยการของไทยจึงอยู่ภายใต้หลักการดำเนินคดีอาญาตามดุลพินิจ (Opportunity Principle) ที่มีการเปิดช่องให้พนักงานอัยการสามารถใช้ดุลพินิจว่าควรดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหาหรือไม่ ทำให้ พนักงานอัยการอาจมีคำสั่งไม่ฟ้องได้แม้จะเป็นคดีที่ปรากฏซึ่งพยานหลักฐานจากการสอบสวนแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิด หากปรากฏเหตุอันไม่สมควรจะฟ้องคดีต่อศาล เช่น การฟ้องร้อง ดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ การใช้มาตรการชะลอการฟ้อง การสั่งไม่ฟ้องจะเป็นประโยชน์ต่อ สังคมมากกว่า อายุของผู้กระทำความผิด เป็นต้น อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่ควรจะดำเนินคดีอาญากับ ผู้ต้องหา ต่างจากหลักการดำเนินคดีอาญาตามกฎหมาย (Legality Principles) ที่บังคับให้ต้อง ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในทุกกรณี นอกจากนี้ หลักการดำเนินคดีอาญาตามดุลพินิจยังเปิดช่อง ให้อัยการสามารถถอนฟ้องคดีจากศาลได้ แม้คดีจะอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ในกรณีที่ปรากฏ ข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่าไม่ควรจะดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป ดุลพินิจในกรณีดังกล่าวจะมีการตรวจสอบจากองค์กรภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 145 ซึ่งวางหลักให้ในกรณีที่มีคำสั่งไม่ฟ้อง ที่ไม่ได้สั่งโดยอธิบดีกรม อัยการ หากอยู่ในเขตกรุงเทพธนบุรี จะต้องส่งสำนวนการสอบสวน และคำสั่งไปยังอธิบดีกรมตำรวจ แต่หากอยู่ในเขตของจังหวัดอื่นจะต้องส่งสำนวนการสอบสวน และคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อ โต้แย้งคำสั่งในการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ หากมีความเห็นแย้ง สำนวนและคำสั่งจะถูกส่งไปที่อัยการสูงสุดเพื่อการชี้ขาดคดี และถือเป็นที่สุด การสั่งฟ้องคดีพนักงานอัยการก็จะมีหน้าที่ในการติดตามดำเนินคดีกับจำเลยในฐานะโจทก์ ตามรูปแบบพิธียังศาล และแม้ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว หากเห็นว่าคำพิพากษานั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสมพนักงานอัยการก็มีอำนาจอุทธรณ์ไปยังศาลสูงต่อไปจนคดีถึงที่สุด ในกรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อพิจารณาบทบาทการสั่งคดีจะเห็นว่า เมื่อการสอบสวนไม่เป็น อำนาจเดียวกันกับการฟ้องร้อง ย่อมส่งผลให้การสั่งคดีของพนักงานอัยการมีข้อจำกัดเกี่ยวกับข้อมูลใน การพิจารณาสั่งคดี ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานที่ห่างไกลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น การสอบสวนที่จะต้อง กระทำโดยพนักงานสอบสวนเสมอแม้จะเป็นการสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ทำให้การกำหนดข้อหา การวางรูปคดี และดุลพินิจในการรวบรวมพยานหลักฐาน ที่ควรจะกระทำโดยผู้ที่มีความรู้ความ เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายที่จะต้องนำคดีขึ้นฟ้องยังศาล ล้วนกลายเป็นบทบาทของพนักงาน สอบสวน ที่สร้างภาระงานและความรับผิดชอบอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้พนักงานอัยการไม่ได้ เป็นผู้ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ เนื่องจากการทำงานเป็นการรับเอาข้อมูลที่กำหนดรูป เรื่องมาจากพนักงานสอบสวนทั้งสิ้น ทางปฏิบัติเช่นนี้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพในการตรวจสอบความ จริงและคุณภาพการสั่งคดีของพนักงานอัยการ นอกจากนี้ การแบ่งแยกการสอบสวนออกจากการ
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3