แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม

29 ว่ากฎหมายวิธีพิจารณาความคือทางปฏิบัติของศาลเช่นเดียวกับประเทศในกลุ่มคอมมอนลอว์ แต่ นำมาใช้กับระบบซีวิลลอว์ นั่นย่อมก่อให้เกิดลักษณะของการขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ การที่กฎหมายให้อำนาจศาลกว้างแต่ศาลใช้ให้แคบนั้นเป็นความย้อนแย้งสับสนระหว่าง ในทางปฏิบัติกับทางนโยบายของทางรัฐบาลโดยแท้ โดยจะเห็นว่า หากกฎหมายวางหลักให้รวบรวม พยานหลักฐานทั้งที่เป็นคุณและโทษ แล้วเจ้าพนักงานรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาผิดผู้ถูกกล่าวหา ย่อมเป็นเป็นการตีความปรับใช้กฎหมายที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย เช่นเดียวกัน หากกฎหมาย มีเจตนารมณ์ที่จะให้ศาลตรวจสอบค้นหาความจริง การเลือกใช้อำนาจแค่เพียงบางส่วนเพื่อให้การ ค้นหาความจริงเป็นไปแบบต่อสู้ย่อมเป็นการตีความปรับใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้อง เมื่อประเทศไทยนำเอาระบบกฎหมายในแบบของยุโรปภาคพื้นทวีปมาใช้ดังได้กล่าวมาแล้ว ในข้างต้น ดังนั้น นิติวิธี คำนิยามและหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งระบบการดำเนินคดีจึงควรใช้ตามแบบ ของระบบกฎหมายแบบซีวิลลอว์ อันจะก่อให้เกิดความสอดคล้องกันในการจะอธิบายถึงวิธีการต่างๆ ในการดำเนินคดี เช่น บทบาทของศาลในการพิจารณาคดี หากตีความว่า ประเทศไทยใช้ระบบ กล่าวหาในมุมมองของนักกฎหมายแบบคอมมอนลอว์ ย่อมอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่า ศาล จะต้องวางตัวเป็นกลางจึงจะเป็นการดำเนินคดีในระบบกล่าวหา เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเหตุผลที่นำมาใช้ นั้นมีความไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในกรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่า ยังมีแนวความเห็นที่ว่าระบบของไทยเป็นระบบผสมระหว่างระบบ กล่าวหาและไต่สวน ซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่ว่าระบบไต่สวนคือระบบที่ศาลค้นหาความจริงด้วยตนเอง ในแบบของนักกฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์ มาประกอบกับ การนำเอา ทางปฏิบัติซึ่งปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ของไทย เช่น การนำคำพิพากษาของศาลฎีกามาเป็น บรรทัดฐานให้ศาลล่างปฏิบัติตามอันเป็นลักษณะของ Case Law แบบระบบคอมมอนลอว์ หรือ การ นำกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ผ่านทางกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จนทำให้ การค้นหาความจริงเป็นไปในลักษณะของระบบต่อสู้ แล้วสรุปว่าระบบการดำเนินคดีของไทยเป็น ระบบผสม

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3