แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม
47 การค้นหาความจริงในเนื้อหา เป็นการค้นหาความจริงเพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายใน กระบวนการยุติธรรมมีหน้าที่ตรวจสอบค้นหาความจริงให้ถูกต้องตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด แม้แต่ศาลก็สามารถเรียกพยานหลักฐานเข้ามาสืบเองได้ เช่น การพิจารณาคดีของศาลในประเทศแถบ ภาคพื้นยุโรปที่จะใช้ผู้พิพากษามืออาชีพในการค้นหาความจริงด้วยตัวเอง ดังนั้น นอกจาก พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยเสนอมาแล้ว ศาลยังสามารถมีคำสั่งให้แสวงหาพยานหลักฐานหรือ เรียกพยานมาสืบได้เอง นอกจากนี้ ผู้พิพากษายังมีอำนาจในการซักถามพยานเพื่อให้ได้ความจริงด้วย ตนเอง โดยถือว่าพยานที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาเป็นพยานของศาล และทุกฝ่ายในกระบวนการ ยุติธรรมล้วนมีหน้าที่ทำให้ความจริงปรากฏแก่คดี การแบ่งฝ่ายเป็นโจทก์จำเลยเป็นเพียงแบบพิธี เท่านั้น มิได้เป็นการต่อสู้กันแต่อย่างใด (non adversarial System) แต่จะเน้นไปที่การค้นหาให้ได้มา ซึ่งความจริงแท้จากการตรวจสอบ (investigatory) ดังนั้น การจะนำเหตุบกพร่องของวิธีพิจารณามายกฟ้องคดีโดยไม่ตรวจสอบเนื้อหาของความ จริงไม่ได้ หรือเจรจาต่อรองถอนฟ้อง ต่อรองคำรับสารภาพ (Plea Bargaining) เช่นเดียวกับระบบ ต่อสู้ไม่ได้ หรือแม้ความจะปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยให้การรับสารภาพในกรณีการกระทำ ความผิดตามข้อหาซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำไว้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่ หนักกว่านั้น ศาลก็ยังคงต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จนกว่าจะเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดขึ้น จริง 105 จึงฟังได้ว่าแม้จำเลยจะรับสารภาพแล้ว โดยหลักการค้นหาความจริงในเนื้อหา ศาลจึงยังคงมี หน้าที่ในการตรวจสอบค้นหาเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงแท้อย่างละเลยเสียมิได้ ในกรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่า ระบบจึงมีข้อดีในด้านการทำให้คดีได้ข้อเท็จจริงที่รอบด้านครบถ้วน ถ้ามีหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดก็ลงโทษได้โดยหลุดรอดด้วยเหตุผลทางเทคนิคยาก หาก ในการนำสืบเกิดการสงสัยไม่แน่ใจว่าจำเลยทำผิดหรือไม่ ศาลก็ต้องค้นหาความจริงจนถึงที่สุดให้สิ้น สงสัย ถ้าค้นหาความจริงจนที่สุดแล้ว ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอจึงจะพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายทางฝ่ายคอมมอนลอร์เห็นว่าการให้อำนาจชี้ขาดทั้งกระบวนการ อยู่ในดุลพินิจของคนเพียงคนเดียว โดยไม่มีการตรวจสอบหรือคานอำนาจหน้าที่จึงอาจเกิดกรณีที่การ พิจารณาและการพิพากษานั้นมิได้เกิดจากความบริสุทธิ์ใจ หรือมีอคติต่อจำเลยโดยง่าย ในกรณีที่ พยานหลักฐานชัดเจนเช่นมีความเป็นไปได้ว่าจะกระทำความผิด 90% ย่อมมีความเป็นภาววิสัย แต่ใน กรณีที่พยานหลักฐานก่ำกึ่งเช่นมีความเป็นไปได้ว่าจะกระทำความผิด 75% เช่นนี้ย่อมเป็นการตัดสิน ลงโทษโดยผู้มีอำนาจรัฐแต่ผู้เดียว 105 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคแรก
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3