แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม

49 ประชาชน คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง ผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีประเภทของคดีทั้งสิ้น 22 ประเภท กรณีที่สอง คือ คดีความผิดทางอาญาอื่นนอกจากกรณีแรก ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ มี มติด้วยการลงคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมด เจ้าพนักงานที่เป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ คือ อธิบดี รองอธิบดี และพนักงานฝ่าย ปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือพนักงานสอบสวน ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 3 และมาตรา 23 เป็นผู้มีอำนาจทำการสอบสวน พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ยังมีการวางหลักให้พนักงานอัยการเข้ามา มีบทบาทในการสอบสวนคดีพิเศษตั้งแต่ต้น ตามมาตรา 32 ซึ่งวางหลักให้ “ในกรณีที่เห็นว่า เพื่อ ประสิทธิภาพในการปราบปรามการกระทำความผิดคดีพิเศษ พนักงานอัยการหรืออัยการทหาร เข้ามา สอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้คำแนะนำและตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ชั้นเริ่มการสอบสวน โดยในบางกรณีก็จะต้องมี พนักงานอัยการหรืออัยการทหารมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษทุกคดี” ซึ่งน่าจะ สามารถแก้ปัญหาการสั่งฟ้องของพนักงานอัยการโดยไม่ได้สัมผัสกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับคดี การ ไม่มีโอกาสได้ซักถามพยานด้วยตนเอง รวมถึงระยะเวลาอันจำกัดก่อนมีการสั่งฟ้องซึ่งส่งผลต่อการ กลั่นกรองคดี และก่อให้เกิดการตรวจสอบซึ่งกันและกัน อันเป็นการร่วมกันค้นหาความจริงและมี ความเป็นอำนาจเดียวของการสอบสวนฟ้องร้อง แบบของในระบบซีวิลลอว์ 2.3.2 พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 การค้นหาความจริงตามหลักตรวจสอบจึงเกี่ยวพันกันโดยตรงกับหลักการดำเนินคดีอาญาโดย รัฐ เนื่องจากมุมมองที่ว่า รัฐควรเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมจากอาชญากรรม และการจะทำให้ ภารกิจบรรลุได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น รัฐจะต้องทราบความจริงแท้ของเรื่องราวเกี่ยวกับตัวจำเลย และการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะฉะนั้น โดยทั่วไปแล้วการดำเนินคดีอาญาจึงต้อง ตรวจสอบเพื่อให้ได้ความจริงที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความผิดอาญาแต่ละฐานโดยละเอียดจะพบว่า ความผิดทาง อาญาซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ (ความผิดต่อส่วนตัว) นั้นเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับ ผลประโยชน์ส่วนตนของเอกชนผู้เสียหายซึ่งคุณธรรมทางกฎหมายมุ่งคุ้มครองประโยชน์ส่วนบุคคล ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแล้ว รัฐจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดแต่อย่าง ใด โดยจะเห็นว่า การดำเนินคดีในฐานความผิดอันยอมความได้นั้นจะต้องมีเงื่อนไขคือการร้องทุกข์ จากผู้เสียหายในการดำเนินคดี และสิทธิในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับสิ้นไปเมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3