แนวคิดและหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม
68 และควรมีความชัดเจนในการกำหนดนโยบายทางอาญาว่ารัฐจะเน้นให้ความสำคัญในด้านใดมากหรือ น้อยเพียงใด เพื่อที่การดำเนินกระบวนการยุติธรรมจะได้มีทิศทางที่แน่ชัด โดยในการดำเนินกระบวน ยุติธรรมทุกขั้นตอนจะต้องมีมาตรการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจ (Check and Balance) เพื่อกำกับการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการของนโยบายของรัฐ การตั้งข้อหาบุคคลว่ากระทำความผิดอาญานั้นนำไปสู่การกระทบซึ่งสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน อย่างรุนแรงทั้งทางด้านเสรีภาพและด้านชื่อเสียง โดยเฉพาะหากการดำเนินคดีในชั้นเจ้าพนักงานนั้น กระทำโดยปราศจากการกลั่นกรองที่ดีและไม่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพก็อาจนำมาซึ่ง การฟ้องคดีโดยไม่เป็นธรรมได้ การที่รัฐดำเนินคดีอาญากับบุคคลด้วยข้อหาที่ปราศจากพยานหลักฐาน ที่เพียงพอ หรือตั้งข้อหาที่หนักกว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏ ก็เท่ากับการส่งบุคคลไปทดลองกระบวน พิจารณาในชั้นศาล (โดยที่ศาลของประเทศไทยมีทางปฏิบัติที่จะไม่ค้นหาความจริงในเชิงรุกดังได้กล่าว มาแล้วในข้างต้น) ย่อมเป็นการปรักปรำประชาชนโดยอำนาจรัฐ การตั้งข้อหาบุคคลจึงควรคำนึงถึง สิทธิที่จะไม่ถูกฟ้องคดีโดยไม่เป็นธรรมมิใช่มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพในการปราบปรามผู้กระทำ ความผิดซึ่งขัดกับสุภาษิตกฎหมายที่ว่าการดำเนินคดีอาญานั้น “ยอมปล่อยคนผิดสิบคนดีกว่าจับคน บริสุทธิ์เพียงคนเดียว” สุภาษิตกฎหมายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดเบื้องหลังของการดำเนินคดี อาญาโดยรัฐที่ตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนว่าเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับมาตรฐานสากลในเรื่องของ แนวทางว่าด้วยบทบาทของอัยการ (United Nations Guidelines on the Role of Prosecutors) ที่วางหลักว่า พนักงานอัยการจะต้องมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่ดำเนินการฟ้องร้อง หรือไม่ดำเนินคดีต่อไป หาก ผลจากการสอบสวนโดยชอบพบว่า ข้อกล่าวหานั้นยังไม่มีมูลเพียงพอ 130 ตัวอย่างกรณี ในประเทศอังกฤษและเวลล์ ซึ่งแต่เดิมอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงและ ปรับบทความผิดนั้นเป็นอำนาจของตำรวจทั้งสิ้น และประสบปัญหาการฟ้องคดีโดยที่พยานหลักฐาน ไม่พอฟ้อง ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการสูญเปล่าของกระบวนการยุติธรรม และการละเมิดสิทธิที่จะไม่ ถูกฟ้องคดีโดยไม่เป็นธรรมของผู้ถูกกล่าวหา เช่นเดียวกับในประเทศไทย จนกระทั่งผลการศึกษาวิจัย ของ Lord Justice Auld’s ได้เสนอให้อำนาจในการปรับบทความผิดเป็นอำนาจของอัยการ เนื่องจากสิ่งพบจากงานวิจัยจากการเปลี่ยนอำนาจปรับบทในพื้นที่ทดลองทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การปรับบทความผิดถูกต้องมากขึ้น และช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ จึงได้มีการตรากฎหมายบัญญัติให้ อำนาจในการปรับบทความผิดแก่ผู้ต้องหาเป็นของพนักงานอัยการ และให้อำนาจอัยการเป็นผู้มี อำนาจปรับบท ส่วนตำรวจเป็นผู้ค้นหาข้อเท็จจริง อันเป็นมาตรการกลั่นกรองคดีให้มีความเชื่อถือได้ 130 แนวทางว่าด้วยบทบาทของอัยการ ข้อที่ 14
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3