100000167

๓๒ โดยตรงแก่สิทธิของผู้ฟูองคดี ที่จะได้รับการเรียกให้บรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่ทะเบียน ระดับ 1 หรือตําแหน่งอื่นที่เทียบเท่า ตามลําดับที่ขึ้นบัญชีไว้ตามประกาศของผู้ถูกฟูองคดีที่ 1 ดังนั้น การ กระทําของผู้ถูกฟูองคดีที่ 2 จึงเป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟูองคดี คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2502 จําเลย (เทศบาล) ได้ละเว้นหน้าที่อันจะต้องกระทํา กล่าวคือ จําเลยมิได้ถมบ่อให้เป็นพื้นเดียวกับพื้นถนนเสียก่อนที่จะเปิดถนนให้รถผ่านไปมา ทั้งจําเลยยังมิได้ จัดให้มีสิ่งกีดกั้นบ่อนี้เป็นเครื่องหมายให้สะดุดตาแก่ผู้คนที่ผ่านไปมา และในเวลากลางคืนก็มิได้จัดให้มี โคมไฟให้ความสว่าง จําเลยย่อมเห็นได้ว่าเป็นสิ่งอันตรายแก่รถและผู้คนสัญจรไปมาอย่างมาก เมื่อรถโจทก์ ขับไปชนขอบบ่อนี้เข้าและเกิดการเสียหายขึ้น จึงถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจําเลย ที่ทําให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย จําเลยจึงรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ กรณีที่ศาลวินิจฉัยว่ามิได้เป็นการกระทาโดยประมาทเลินเล่อ คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2510 จําเลยขับรถมาด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เมื่อจะขึ้นสะพานลดลงเหลือ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเด็กวิ่งข้ามถนนในระยะกระชั้นชิด ซึ่งจําเลยไม่สามารถหยุดรถได้ทัน จึงต้องหักหลบแล้วไปชนผู้ตาย ถือได้ว่าความเร็วที่จําเลยใช้ในขณะข้าม สะพาน ไม่เป็นความเร็วที่เกินสมควร ตามเวลา สถานที่ และพฤติการณ์อื่น ๆ ในขณะนั้น และการที่มีเด็ก วิ่งข้ามถนนผ่านหน้ารถจําเลยในระยะใกล้ เป็นเหตุบังเอิญ มิอาจคาดหมายได้ และเกิดขึ้นโดยฉับพลัน เป็นเหตุที่ไม่มีใครปูองกันได้ เมื่อจําเลยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลใน ฐานะที่ประสบเหตุเช่นนั้นแล้ว จึงไม่เป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อ แต่เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย จําเลยจึงไม่ต้องรับผิด ข้อสังเกต คําว่า “ประมาทเลินเล่อ” และคําว่า “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” นั้น แตกต่างกัน คําว่า “ประมาทเลินเล่อ” หมายความว่า กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดย ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ส่วนคําว่า ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หมายถึง การกระทําละเมิดโดยมิได้เจตนา แต่เป็น การกระทําซึ่งบุคคลพึงคาดหมายไดวาอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ และหากใช้ความระมัดระวัง แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจปูองกันมิให้เกิดความเสียหายได แต่กลับมิไดใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นเลย (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 10/2552, 146/2553) ทั้งนี้ บทบัญญัติแห่งกฎหมายกําหนดเรื่อง “ประมาทเลินเล่อ” และคําว่า “ประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง” ไว้แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาท เลินเล่อ...” ดังนั้น กรณีเจาหน้าที่กระทําละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นี้ จึงหมายถึง การจงใจหรือประมาทเลินเล่อธรรมดาเท่านั้น มิใช่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง 2. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 บัญญัติว่า “หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟูองหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟูองเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ” ดังนั้น การกระทําละเมิดของเจาหน้าที่ต่อบุคคลภายนอกในการปฏิบัติหน้าที่ อันจะทําให้หน่วยงานของรัฐต้องรับ ผิดต่อบุคคลภายนอก ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3