การศึกษาอิสระ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
109 เห็นว่าจะต้องรวบรวมข้อมูลการได้สัญชาติอื่นและกำหนดการปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย ซึ่งแม้คนสองสัญชาติจะใช้หนังสือเดินทางต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย ระเบียบปฏิบัติที่ต้อง ปฏิบัติต่อคนสองสัญชาติควรกำหนดให้ไม่แตกต่างจากคนไทย และให้แนวคิดว่าหากประสงค์จะบังคับ ใช้กฎหมายคนเข้าเมืองกับคนสองสัญชาติก็ควรจะตรากฎหมายเฉพาะในการควบคุมคนสองสัญชาติ หรือแก้ไขพระราชบัญญัติสัญชาติให้สอดคล้องกับความต้องการที่จะควบคุมคนสองสัญชาติ ซึ่งแนวทางนี้อาจใช้เป็นแนวทางควบคุมคนสองสัญชาติได้แต่อาจไม่เหมาะสมในแง่ของสิทธิของบุคคล จากการรวบรวมความเห็นของผู้ให้สัมภาณ์ทุกราย ผู้วิจัยพบว่าการดำเนินการในปัจจุบัน ของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นการกระทำภายใต้ความคิดว่าเพื่อเป็นการควบคุมคนสอง สัญชาติในกรณีเดินทางเข้าประเทศด้วยหนังสือเดินทางต่างชาติจะต้องปฏิบัติตนเช่นเดียวกับ คนต่างด้าว เพื่อมุมมองด้านความมั่นคง และการปฏิบัติดังกล่าวได้ปฏิบัติต่อเนื่องสืบต่อกันมา จนเป็นที่รับรู้กันในกลุ่มคนสองสัญชาติว่าจะต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติดังกล่าวและ คนสองสัญชาติต่างยอมรับที่จะปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเช่นนั้น รวมถึงการที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ หรือ สถานกงสุลไทยในต่างประเทศ ต่างดำเนินการประชาสัมพันธ์แนวทางดังกล่าวกันมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ทุกภาคส่วนเข้าใจว่า เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตัวอย่างเช่นเว็บไซด์ของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโคว ได้ประชาสัมพันธ์แนวทางปฏิบัติในการตรวจอนุญาตให้บุคคลเดินทางเข้าออกราชอาณาจักร กรณี บุคคลถือหนังสือเดินทางร่วมหรือถือหนังสือเดินทาง 2 เล่ม ในหน้าเว็บทางการของตน โดยอ้างอิงจาก เว็บไซด์ของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต(สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโคว, ม.ป.ป.) ซึ่งไม่ ตรงกับการเก็บรวบรวมข้อมูลกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การตีความด้วยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทาง กฎหมายเห็นได้ว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และรวมถึงการปฏิบัติต่อคนสองสัญชาติซึ่งใช้หนังสือเดินทางต่างชาติเดินทางเข้ามาใน ราชอาณาจักรในฐานะเช่นเดียวกับคนต่างด้าวเป็นการกระทบความเป็นคนไทยของคนสองสัญชาติ ประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมคนสองสัญชาตินั้น ในมุมมองของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมองว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับมั่นคง ผู้วิจัยพบว่าจากสถิติคดีความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อำเภอในพื้นที่จังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี 2547 – 2552 ซึ่งเป็นระยะเริ่มแรกของการก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ภาคใต้ มีคดีทั้งสิ้น 6,230 คดี ซึ่งรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว 1,352 คดี (ร้อยละ 21.70) แต่กลับไม่พบว่าผู้มีสองสัญชาติมีส่วนในคดีความมั่นคงที่เกิดขึ้นเลย เมื่อนำหลักความเกี่ยวโยงอันแท้จริง (Genuine link) มาพิจารณาว่าคนสองสัญชาตินั้น มีความเกี่ยวโยงแท้จริงเช่นไรจึงใช้หนังสือเดินทางต่างชาติ ก็สามารถแยกได้ว่า คนสองสัญชาตินั้นเป็น ผู้มีความผูกพันกับรัฐไทยอย่างไร โดยแบ่งเป็น ผู้ได้สัญชาติไทยมาโดยการเกิด และผู้ได้สัญชาติไทย ภายหลังการเกิด เห็นได้ว่า กรณีแรกผู้ได้สัญชาติไทยมาโดยการเกิดนี้มีความเกี่ยวโยงแท้จริงมาตาม
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3