การศึกษาอิสระ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
110 หลักสืบสายโลหิตหรือหลักดินแดน กรณีนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธรศักราช 2560 มาตรา 39 ได้รับรองให้ไม่อาจถอนสัญชาติของบุคคลกลุ่มนี้ได้ ส่วนกรณีได้สัญชาติไทยมาภายหลังเกิด นั้น วิธีการได้มาตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 กำหนดให้มีวิธิการได้มานั้นโดยการสมรสกับ คนไทย หรือการแปลงสัญชาติ ซึ่งเห็นได้ว่าตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ของไทยนั้น การจะได้สัญชาติไทยไม่ว่าในทางใดจะต้องมีความเกี่ยวโยงอันแท้จริงเกิดขึ้นประการใดประการหนึ่ง โดยไม่ปรากฏว่าประเทศไทยสามารถขายสิทธิพลเมืองให้คนต่างด้าวได้ และกรณีการอนุญาตให้ คนต่างด้าวแปลงมาเป็นสัญชาติไทย หากผู้นั้นยังคงถือสัญชาติเดิมหรือไปอยู่ต่างประเทศโดยไม่มี ภูมิลำเนาในประเทศไทยเป็นเวลาเกินห้าปีรัฐมนตรีมีอำนาจถอนสัญชาติบุคคลนั้นได้ (พระราชบัญญัติ สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 19) จึงเห็นได้ว่า หลักความเกี่ยวโยงอันแท้จริง (Genuine link) นี้ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มีความสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว และหากบุคคลธรรมดา ผู้ใดไม่มีความเกี่ยวโยงอันแท้จริงต่อรัฐไทยแล้ว รัฐมนตรีก็สามารถใช้อำนาจถอนสัญชาติบุคคลนั้นได้ เมื่อนำมาพิเคราะห์กับข้อกฎหมายปัจจุบัน บทบัญญัติที่นำมาบังคับใช้แก่คนสองสัญชาติ ซึ่งเดินทางเข้าประเทศด้วยหนังสือเดินทางต่างชาตินั้นเป็นการใช้บทบัญญัติตามกฎหมายคนเข้าเมือง ที่ใช้บังคับแก่ “คนต่างด้าว” มาบังคับแก่คนสองสัญชาติซึ่งยังคงมีสัญชาติไทยด้วย แม้ว่าคนสอง สัญชาติรายใดจะปราศจากความเกี่ยวโยงอันแท้จริง (Genuine link) กับรัฐไทยเช่น โดยอาจได้ สัญชาติไทยและสัญชาติอื่นมา โดยผูกพันกับสัญชาติอื่นยิ่งกว่าสัญชาติไทยก็ตามดังเช่นที่ศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศกล่าวถึงในคดีของนายนอตเตโบห์มก็ตาม แต่ด้วยพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา การตีความจะต้องตีความโดยเคร่งครัดตามหลักกฎหมายอาญา และเมื่อพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 กำหนดให้การเสียสัญชาติมีผลเมื่อประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดังนั้นตราบเท่าที่ยังคงมีสองสัญชาติก็มิอาจเป็นคนต่างด้าวที่จะต้องปฏิบัติเช่น คนต่างด้าวตามกฎหมายคนเข้าเมืองต่าง ๆ ได้ และขณะนี้ไม่มีกฎหมายใดเก็บข้อมูลคนสองสัญชาติไว้ เป็นฐานข้อมูลส่งต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาว่าควรใช้อำนาจถอนสัญชาติแก่ผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวโยง อันแท้จริงรายใดหรือไม่ ดังนั้นหากประสงค์ที่จะมีการควบคุมคนสองสัญชาติ ผู้วิจัยเห็นว่าเพื่อให้ ทางราชการทราบถึงการมีสถานะสัญชาติอื่นของบุคคล และจัดเก็บข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบ โดยมีกฎหมายให้อำนาจ ผู้วิจัยพบกฎหมายของประเทศสหพันธรัฐรัสเซียที่ตรากฎหมายขึ้นโดยระบุ เหตุผลในการตราว่าเพื่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย “ON CITIZENSHIP OF THE RUSSIAN FEDERATION” ลงวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 ซึ่งได้แก้ไข เรื่องการให้พลเมืองสองสัญชาติประกาศสถานะคนสองสัญชาติต่อรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียตาม กฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ลงวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 และหากผู้ใดฝ่าฝืนการแจ้งสถานะการ มีสองสัญชาติจะมีโทษทางอาญา กล่าวคือ มีโทษปรับไม่เกินสองแสนรูเบิลหรือเงินเดือนหรือรายได้ อื่น ๆ เป็นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปีหรือบังคับใช้แรงงานเป็นเวลาสี่ร้อยชั่วโมง
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3