2566-2 ฐิตา ตุกชูแสง-การค้นคว้าอิสระ

20 ทฤษฎีว่าด้วย “เสรีภาพในการทำสัญญา” ยึดหลักว่า ตัวก่อให้เกิดหนี้ในเรื่อง เกี่ยวกับสัญญาก็คือ “ความสมัครใจ” หรือ “เจตนา” หนี้ในเรื่องสัญญาจึงเกิดขึ้นด้วยอำนาจของการ กระทำด้วยความสมัครใจของบุคคลนั้น มิใช่เกิดขึ้นด้วยอำนาจภายนอกอื่นใด (อำนาจกฎหมาย) สัญญามิได้มี สภาพบังคับโดยอำนาจแห่งกฎหมาย แต่เกิดขึ้นโดยอำนาจแห่งความสมัครใจที่คู่สัญญายินยอมผูกพันกัน กฎหมายเป็นเพียงผู้กำหนดบทลงโทษในเมื่อไม่ปฏิบัติตามหนี้นั้นเท่านั้น นอกจากนั้นทฤษฎีว่าด้วย เสรีภาพในการทำสัญญานี้ ยังถือหลักที่ว่า “หนี้เกิดจากสัญญาที่เป็นหนี้ที่เกิดจากความยุติธรรม” ทั้งนี้ เพราะสัญญามีเสรีภาพอิสระที่จะทำสัญญานั้นหรือไม่ก็ได้ถ้าเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งเอารัดเอาเปรียบกนี้ทาง ฝ่ายตนมากกว่าหนี้ของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมก็ต้องถือเท่ากับว่าสัญญาเห็นว่า หนี้นั้น ยุติธรรมแล้วหลังจากที่ได้ทำสัญญาไปแล้วลูกหนี้จะมากล่าวอ้างในภายหลังว่าตนไม่ได้รับความ ยุติธรรมไม่ได้ เพราะขณะทำสัญญาไม่มีใครบังคับ เมื่อเห็นว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ต้องทำ เมื่อทำแล้วก็ต้อง ยุติธรรม ดังที่ Fouilee ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ความยุติธรรมทั้งหลายคือ สัญญา ใครกล่าววถึงสัญญา เท่ากับกล่าวถึงความยุติธรรม” ตรงข้ามกันถ้าตัวที่ก่อให้เกิดหนี้มิใช้สัญญาแต่เป็นอำนาจภายนอกก็ เป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมและความเหมาะสม เพราะเป็นเรื่องของการจำกัดเสรีภาพของบุคคล (สุธา บดี สัตตบุศย์, 2522) 2) หลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา (Autonomy of will) หลักที่อาศัยความเป็นเหตุเป็นผลเชิงนิติปรัชญาว่าด้วยนิติสัมพันธ์ทางหนี้ว่าอยู่บน รากฐานของเจตนาของบุคคลโดยเจตนาเป็นแหล่งกำเนิดและเป็นมาตรการของสิทธิ (ดาราพร ถิระวัฒน์, 2538) การแสดงเจตนา (Declaration of Intention) เป็นการกระทำซึ่ งบุคคลแต่ละคน ประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลทางกฎหมายบางประการและได้มีการแสดงออกซึ่งความประสงค์นั้น (ปันโน สุข ทรรศนีย์, 2517) ดังนั้น การแสดงเจตนาอยู่ภายใต้จิตใจของบุคคลใดๆจึงไม่เกิดผลทางกฎหมายแต่ อย่างใดต้องมีการแสดงออกไปให้ปรากฏเป็นการกระทำไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่แสดงออกมาอย่างชัดแจ้ง หรือเป็นการแสดงออกมาโดยการนิ่งเฉย ถ้าเป็นความประสงค์ของผู้แสดงเจนาที่จะให้เกิดผลขึ้นแล้วก็ถือว่า บุคคลนั้นได้แสดงเจตนาแล้วนั้นเอง

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3