2566-2 ฐิตา ตุกชูแสง-การค้นคว้าอิสระ

25 ไม่ระมัดระวังตรวจดูสินค้าตามควรขณะรับมอบสินค้า หากปรากฏภายหลังว่ามีข้อบกพร่องใด ผู้ซื้อก็ ต้องรับความเสียหายไป โดยเรียกร้องเอาจากผู้ขายไม่ได้ซึ่งเท่ากับกฎหมายเห็นว่าผู้บริโภคและผู้ประกอบ ธุรกิจมีฐานะและความรู้ความสามารถเท่ากัน ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องออกกฎหมายมา เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคโดยเฉพาะ (ธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์, 2560) ก่อนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 นั้น ประเทศไทย มีการพัฒนากฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคเป็นการเฉพาะที่นอกเหนือจากการคุ้มครองตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายอาญาที่เป็นหลักทั่วไป ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีกฎหมายกลาง ที่ ใช้คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคไว้โดยเฉพาะ มีเพียงกฎหมายที่ ใช้บังคับเฉพาะเรื่ อง เช่น การตรา พระราชบัญญัติทางน้ำนม พ.ศ. 2470 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ซึ่งห้าม ไม่ให้นำน้ำนมที่ผลิตบริษัทขึ้นมาเพื่อจำหน่ายไปใช้เลี้ยงทารก เนื่องจากอาจจะทำให้ทารกเกิดความไม่ สมบูรณ์แข็งแรง ขาดสารอาหาร ซึ่งจะส่งผลต่อประเทศชาติที่ขาดบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคต ต่อมา เมื่อประเทศมีการพัฒนามากขึ้น วิธีการผลิตสินค้าและจำหน่ายสินค้ามีกรรมวิธีที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น รัฐจึงได้ออกกฎหมายพิเศษอีกหลายฉบับเพื่อคงไว้ซึ่งความปลอดภัยของประชาชนและป้องกันความ เสี ยหายแก่ผู้ บริ โภคขึ้ นมาบั งคับใช้ ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมการขายยา พ.ศ. 2475 พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติควบคุมอาหาร พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติ ควบคุมคุณภาพอาหาร พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2517 (สุษม ศุภนิตย์, 2551) ในประเทศไทยนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้มีเจ้าหน้าที่ของสหพันธ์องค์การผู้บริโภคระหว่าง ประเทศซึ่งเป็นองค์การอิสระไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จัดตั้งโดยสมาคมผู้บริโภคของประเทศต่างๆ รวมตัวกันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้เข้ามาชักชวนองค์การเอกชนในประเทศ ไทยให้มีการจัดตั้งสมาคมผู้บริโภคขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจาก องค์การเอกชนของประเทศไทยในขณะนั้นยังไม่พร้อมที่จะดำเนินงานอย่างไรก็ตามสหพันธ์องค์การ ผู้บริโภคระหว่างประเทศก็มิได้ย่อท้อได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาชักชวนอีกหลายครั้ง จนกระทั่งในครั้งที่ 3 องค์การเอกชนของประเทศไทยได้รับการชักชวน ได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการศึกษาปัญหาของ ผู้บริโภคมีชื่อว่า “กรรมการศึกษาและส่งเสริมผู้บริโภค”ขึ้นใน ปี พ.ศ. 2514 และได้มีวิวัฒนาการ เรื่อยมาในภาคเอกชน รวมทั้งได้ประสานงานกับภาครัฐบาล จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 รัฐบาลสมัยคึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี พลตรีประมาณ อดิเรกสาร เป็นประธานกรรมการชุดดังกล่าว ได้สลายตัวไปพร้อมกับรัฐบาลในยุคนั้น ตามวิถีทางการเมือง ต่อมารัฐบาลสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้เล็งเห็น ความสำคัญและความจำเป็นของการคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขึ้นอีกครั้งโดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายสมภพ โหตะกิตย์ เป็นประธานกรรมการการปฏิบัติงาน โดยอาศัย

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3