2566-2 ฐิตา ตุกชูแสง-การค้นคว้าอิสระ
26 อำนาจของนายกรัฐมนตรีและศึกษาหามาตราการถาวรในการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งในหลักทางสาระบัญญัติและ การจัดองค์กรของรัฐเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้พิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และรัฐบาลได้นำเสนอต่อรัฐสภามีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้เป็นกฎหมายได้ รัฐบาลจึงได้นำร่างขึ้นบังคม ทูลซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราเป็นพระราชบัญญัติได้ตั้งแต่วันที่ทรงลงพระ ปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2522 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษเล่มที่ 96 ตอนที่ 72 วันที่ 4 พฤษภาคม 2522 มีผลการใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2522 เป็นต้นมา (สำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค, 2564) 2.4.2 แนวคิดและทฤษฎีของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค แนวคิดการคุ้มครองผู้บริโภค แนวคิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริ โภคมีขึ้ นตั้ งแต่สมัยอดีตกาล กฎหมายบางฉบับมี ระยะเวลายาวนานนับร้อยปี เช่น กฎหมายชื่อว่า “The Old Testament” เป็นกฎหมายที่ค้นพบใน พระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ หรือกฎหมายชื่อว่า “The Code of Hammurabi” เป็นกฎหมายของ พระเจ้าฮัมมูราบี หรือประมวลกฎหมายของประเทศอินเดีย ซึ่งกฎหมายเหล่านี้เป็นกฎหมายที่กำหนดถึง มาตรการควบคุมไม่ให้มีการโกงมาตรชั่ง และการปลอมปนในอาหาร โดยส่วนประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดให้การคุ้มครองผู้บริโภคปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจรัฐสภา กำหนดมาตรฐานการชั่งตวงวัด นอกจากนี้ในทวีปยุโรป มีการนำหลักในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคมา ปรับและกำหนดให้เป็นกฎหมาย โดยเริ่มมีขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 เช่น ในประเทศฝรั่งเศส กฎหมายได้กำหนดให้ผู้บริโภคสามารถขว้างไข่เน่าใส่ผู้ที่นำมาขายได้ หรือในประเทศออสเตรียมี กฎหมายบังคับให้ผู้ขายนมสดที่มีการเจือปน ปลอมแปลง ต้องดื่มนมสดของตนเองจนหมด เป็นต้น (ฉัตรสุมน พฤฒิภิญโญ, 2551) จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการเกิดขึ้นของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อาจกล่าว ได้ว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในยุคหนึ่ง เริ่มเกิดช่องว่าง ขาดความเหมาะสมในยุคถัดมา เนื่องจาก กฎหมายสมัยก่อนบัญญัติขึ้นมาเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาของสังคมในสมัยนั้น ซึ่งเป็นสังคมที่แคบ และวิธีการผลิตยังไม่ซับซ้อนเท่าสังคมในปัจจุบัน เช่น สัญญาซื้อขาย ที่ ใช้หลักความผิดตาม ความสัมพันธ์ในสัญญา ซึ่งมีผลว่าเฉพาะคู่กรณีในสัญญาคือผู้ซื้อผู้ขายในสัญญาเท่านั้นมีสิทธิและ หน้าที่ความรับผิดต่อกัน ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นจากการบริโภคทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าว หากผู้ ที่ได้รับความเสียหายมิใช่คู่สัญญาก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้คู่กรณีอีกฝ่ายรับผิดได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ หลัก “ผู้ซื้อต้องระวัง” ซึ่งเป็นหลักกฎหมายโรมันที่ยึดถือกันในหลายประเทศอันมีหลักการว่าหากมี ความเสียหายใดๆ ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันนั้น ความเสียหายนั้นตกเป็นของผู้ซื้อ กล่าวคือผู้ขายไม่ต้อง
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3