2566-2 ฐิตา ตุกชูแสง-การค้นคว้าอิสระ

29 บริหารจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน (สุรพล นิติไกร พจน์, 2534) ทฤษฎีการคุ้มครองผู้บริโภค จากแนวคิดของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่เกิดขึ้นดังกล่าวก่อให้เกิดทฤษฎีกฎหมายใน การคุ้มครองผู้บริโภค ดังนี้ 1) ทฤษฎีความรับผิดในทางละเมิดซึ่งใช้บทสันนิษฐานความผิด หลักความรับผิดในทาง ละเมิดมีทฤษฎีความรับผิดที่เป็นที่ยอมรับโดยททั่วไปอยู่ 2 ประการคือ หลักมีความรับผิดเมื่อมี ความผิด กล่าวคือผู้กระทำจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหาย และหลักความรับผิดโดย กฎหมายสันนิษฐานว่ามีความผิดแม้มิได้มีการจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือที่เรียกโดยทั่วไปว่าหลัก ความรับผิดโดยเคร่งครัด บางกรณีก็เป็นการสันนิษฐานเด็ดขาด บางกรณีก็มีข้อยกเวนให้มีการนำสืบ หักล้างบทสันนิษฐานที่กฎหมายบัญญัติได้ หลักกฎหมายความรับผิดโดยเคร่งครัดเป็นที่ยอมรับมาก ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนในการผลิต ผู้ใช้ได้รับ ความเสียหายไม่อาจพิสูจน์ถึงเหตุแห่งความเสียหายได้ว่าเป็นความผิดของผู้ใด ซึ่งในการคุ้มครอง ผู้บริโภคได้นำเอาหลักความรับผิดโดยเคร่งครัดมาปรับใช้ด้วย และการพิสูจน์ว่ามีความบกพร่องใน การผลิตไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้บริโภคจะพิสูจน์ได้ง่าย เพราะความสลับซับซ้อนของกรรมวิธีการผลิต (สุษม ศุภนิตย์, 2557) 2) การไม่ให้ความสำคัญกับความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนาหรือเสรีภาพในการทำ สัญญา เนื่องจากปัญหาในเรื่องอำนาจต่อรองระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคทำให้บทบาทใน เรื่องของเจตนาที่คู่สัญญาแสดงออกเพื่อทำสัญญากันได้ลดความสำคัญลง รูปแบบการทำสัญญาได้ เปลี่ยนแปลงไปจนเกิดสัญญาที่เรียกกันว่าสัญญามาตรฐาน หรือสัญญาสำเร็จรูป ทฤษฎีกฎหมายที่ใช้ ในการคุ้มครองผู้บริโภคจึงไม่อาจเอาหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาและเสรีภาพในการทำ สัญญาที่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เท่าเทียมกัน ความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนา และเสรีภาพใน การทำสัญญาที่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เท่าเทียมกันเรื่องอำนาจต่อรองและมีระบบการค้าที่มีการ แข่งค่อนข้างสมบูรณ์มาใช้ได้ กฎหมายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคจำเป็นต้องละเลยหรือไม่ให้ ความสำคัญต่อหลักกฎหมายดังกล่าว เหตุผลประการหนึ่งที่ไม่อาจนำเอาหลักความศักดิสิทธิ์แห่ง เจตนาและเสรีภาพในการทำสัญญามาใช้คุ้มครองผู้บริโภคได้คือการทำสัญญาของเอกชนจะมีผล ผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ตามหลักความรับผิดเฉพาะคู่กรณีในสัญญาที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการ มีเสรีภาพในการทำสัญญา แต่ในการคุ้มครองผู้บริโภคโดยเหตุที่ผู้บริโภคไม่จำต้องบริโภคสินค้าหรือ บริการโดยอาศัยความสัมพันธ์ในทางสัญญาเสมอไป เนื่องจากการบริโภคเป็นปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมิได้อยู่กับเงื่อนไขทางสถานะทางสังคม ความสามารถของบุคคล หรือขอตก

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3