2566-2 ฐิตา ตุกชูแสง-การค้นคว้าอิสระ
35 ให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย” ดังนั้น การ ที่กรรมสิทธิ์ในสินค้าจะโอนอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อมีสัญญาซื้อขายเสร็จ เ ด็ ดขาดเ กิ ดขึ้ น กรรมสิ ทธิ์ จะ โอนไปยั งผู้ ซื้ อทั นที โดยไม่ คำนึ งว่ ามี การส่ งมอบหรือ ชำระราคาแล้วหรือไม่ เนื่องจากการส่งมอบและชำระราคาอาจเกิดขึ้นภายหลัง จากที่สัญญาเกิดขึ้น แล้วก็ได้ แต่หากเป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลากรรมสิทธิ์จะยังไม่โอน จนกว่าการจะ เป็นไปตามเงื่อนไข หรือถึงกำหนดเงื่อนเวลาเสียก่อน (มาตรา 459) หรือกรรมสิทธิก็ยังจะไม่โอนอีก เช่นกัน ถ้าต้องมีการบ่งตัวทรัพย์สิน หรือชั่ง ตวง วัด ฯลฯ ตัวทรัพย์สินให้แน่นอนเสียก่อน (มาตรา 460 วรรค 1 และ 2) 2) ผู้ขายมีสิทธิที่จะได้รับชำระราคาสินค้า เมื่อตนได้ส่งมอบสินค้าแก่ให้ผู้ซื้อแล้วซึ่งการส่ง มอบสินค้า(Delivery of Goods) จึงเป็นหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้ขายที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งแยก ต่างหากจากหน้าที่ในการโอนกรรมสิทธิ์ (Transfer of Title) ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กล่าวข้างต้น โดย หลักผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้อยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อ (มาตรา 462) หากเป็นการซื้อขายสินค้าที่ต้องมีการ ขนส่งผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าให้กับผู้รับขน (มาตรา 463) หน้าที่ประการต่อมาของผู้ขายคือการรับผิด เพื่อความชำรุดบกพร่อง โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดใน “ความชำรุดบกพร่อง” (Defect) ของสินค้าที่ส่งมอบ แม้ผู้ขายจะรู้ถึงความชำรุดบกพร่องนั้นหรือไม่ก็ตาม (มาตรา 472) 3) ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะได้รับสินค้า เมื่อตนได้ชำระราคาสินค้านั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว ดังนั้นการ ชำระราคา (Payment of Goods) จึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ซื้อ ที่กฎหมายกำหนดไว้ควบคู่กับหน้าที่ ในการรับมอบสินค้า (Taking Delivery) ทั้งนี้ ราคาที่ซื้อขายกันนั้น อาจกำหนดไว้ในสัญญาหรือไม่ก็ ได้ หากไม่ได้กำหนดไว้ผู้ซื้อต้องชำระราคาตามสมควร (มาตรา 487) อย่างไร ก็ตาม ผู้ซื้อมิสิทธิที่จะ ยึดหน่วงราคาสินค้าไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนหากพบเห็นว่าสินค้านั้นมีความชำรุดบกพร่อง (มาตรา 488) (จุมพิตา เรืองวิชาธร, 2562) (2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายผ่านแอพพลิเคชั่น นอกจากบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายแล้ว ยังมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบัญญัติอยู่ในบรรพ 1 เรื่อง “นิติ กรรม” และในบรรพ 2 เรื่อง “สัญญา” กรณีการเกิดสัญญาในลักษณะทั่วไป ด้วยการทําคําเสนอจากฝ่ายหนึ่งไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง สนองรับ และเมื่อได้สนองรับตรงตามที่ฝ่ายแรกได้เสนอมา ภายในกําหนดเวลาแล้ว ก็จะ ก่อให้เกิด สัญญาขึ้นมาทันที และมีผลบังคับตามกฎหมายระหว่างกันทันทีด้วย ซึ่งอาจเป็นการทําคําเสนอและมีการ ทําคําสนองที่คู่สัญญาทั้งสองได้อยู่เฉพาะหน้าด้วยกัน หรือจะเป็นกรณีที่อยู่ต่างที่กัน และได้มีการเสนอ สนองรับต้องตรงกันมาก็จะเกิดเป็นสัญญาขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3