2566-2 นายภัทราวุธ ฉวีนิล-การค้นคว้าอิสระ

29 หรือพยานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนในเรื่องดังกล่าวตามที่ได้มีการกล่าวหาแล้ว คณะอนุกรรมการ ไต่สวนก็จะพิจารณาสำนวนการไต่สวน และมีความเห็นส่งเรื่ องไปยังคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติในเรื่องดังกล่าว ซึ่งมติดังกล่าวจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) การชี้มูลความผิดในเรื่องของวินัยราชการ 2) การชี้มูลความผิดในเรื่องอาญา โดยกรณีที่ เป็นการชี้ มูลความผิดทางวินัยนั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ จะดำเนินการส่งรายงานสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงไปยังผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจสั่งแต่งตั้งถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัย ตามฐานความผิดที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้มีมติภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่อง โดยมติในการถือสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติดังกล่าวนั้ น หากเป็นการชี้ มูลในฐานความผิดฐานความผิดทุจริตต่อหน้าที่ ราชการ ฐานความผิดในการยุติธรรม ฐานความผิดในตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งจะต้องถือสำนวนรายงานการไต่สวนของ คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยและสามารถสั่งลงโทษ ผู้ถูกกล่าวหาโดยให้ถือว่าสำนวนรายงานการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัย จึงไม่ต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยใหม่อีก อันเป็นไปตามนัยมาตรา 98 แห่ งพระราชบัญญัติประกอบรั ฐธรรมนูญว่ าด้ วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช, 2565) แต่หากเป็นกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติชี้มูล และได้ส่งสำนวนรายงานการไต่สวนมายังผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งในฐานความผิด อื่ นนอกจาก 4 สถาน ตามข้างต้น ผู้ บังคับบัญชาซึ่ งมีอำนาจสั่ งบรรจุและแต่งตั้ งไม่จำต้อง ถือข้อเท็จจริง หรือถือเอาสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการสั่งลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยจะต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยใหม่ และหากเป็นการ ชี้มูลความผิดในทางอาญา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก็จะดำเนินการ ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป