2566-2 นายภัทราวุธ ฉวีนิล-การค้นคว้าอิสระ
52 อย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้ อื่น ได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐาน กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ต่อมาผู้ร้อง จึงได้ดำเนินการส่งเรื่องมายังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กระทรวงการคลัง) เพื่อให้ ดำเนินการลงโทษทางวินัย จากนั้น อ.ก.พ. กระทรวงการคลัง ในการประชุมครั้งที่ 9/2549 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ตามที่ผู้ร้องชี้มูลความผิด แล้วตั้งข้อสังเกตว่า การปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ ฟ้องคดีกับพวก เป็นประโยชน์ต่อทางราชการมาโดยตลอดและจาก การตรวจสอบประวัติการรับราชการ พบว่าไม่เคยถูกดำเนินการทางวินัยมาก่อน แต่เนื่องจาก มาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาต้องดำเนินการ พิจารณาโทษทางวินัย ตามฐานความผิดที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้มีมติ โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก อ.ก.พ. กระทรวงการคลังจึงต้องพิจารณา โทษทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดีกับพวก ตามฐานความผิดข้างต้น ซึ่งมาตรการลงโทษกรณีของข้าราชการ กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการนั้น ตามหนังสือสำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว.234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดแนวทาง ให้ถือปฏิบัติว่า การลงโทษผู้กระทำความผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการฐานทุจริตนั้น ควรลงโทษ ไล่ออกจากราชการ การนำเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืนหรือมีเหตุอันควรปรานีอื่นใด ไม่เป็นการ ลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการ ซึ่ งต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีคำสั่ งกระทรวงการคลัง ที่ 1214/2549 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2549 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสืออุทธรณ์ต่อเลขาธิการ ก.พ. ซึ่ ง ก.พ. ได้พิจารณาอุทธรณ์ของ ผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีได้ใช้ดุลยพินิจพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ตลอดจนระเบียบ และแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร รวมทั้งเทียบเคียงแนวคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อันประกอบด้วยหลักฐานและเหตุผลที่ชัดเจน จึงเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยสุจริตและชอบด้วย กฎหมาย อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอ แสดงให้เห็นถึงข้อพิรุธว่ามีการติดต่อกับ ผู้เสียภาษี หรือได้รับความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่เป็นกรณีพิเศษซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินการ ในเรื่องนี้ รวมทั้งไม่มีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีมูลเหตุจูงใจในการเอื้อมประโยชน์ ให้แก่นาย บ กรณีจึงมีเหตุอันควรลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3