2566-3 -รัชวุฒิ ช่อดอก- การค้นคว้าอิสระ

124 พอใจ ก็นายสองคนนี้แหละที่จะมาคอยชี้บอกถึงสิ่งที่ควรทาและไม่ควรทา ตลอดถึงคอยกาหนดสิ่งที่ เราจะทาตามมาตรฐานแห่งศีลธรรมอีกประการหนึ่ง สายโซ่แห่งเหตุและผลอีกด้านหนึ่งผูกติดอยู่กับ บัลลังก์ของนายทั้งสอง ควบคุมสิ่งที่เราทา ทุกคาที่เราพูด และ ทุกสิ่งที่เราคิดทุกความพยายามที่เรา ทาเพื่อสลัดออกซึ่งการควบคุมในคาพูด คนเราอาจแสร้งทาเป็นว่าตัดขาดจากจักรวรรดิของเขาได้ แต่ แท้ที่จริงเราอยู่ใน อาณาเขตแห่งอานาจของเขาตลอดเวลา หลักแห่งประโยชน์ยอมรับการถูกควบคุม นี้มาเป็นพื้นฐานในการมีเป้าหมายคือการได้มาซึ่งความสบายโดยเหตุและผลและการนิติบัญญัติหนึ่ ง คือการศึกษากฎหมายและสังคมศาสตร์ กฎหมายและความสัมพันธ์กับสิ่ งอื่นในมิติต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ลัทธิประโยชน์นิยม ( Utilitarianism) หมายถึง ทฤษฎีทางจริยธรรม (Ethics) ที่ถือว่าความดีเป็นความสุข (Happiness) การกระทาที่ถูกต้อง คือการสร้างความสุข แนวคิดเรื่องลัทธิประโยชน์นิยมหรือที่เรียกว่า Greatest Happiness Principle เป็นแนวทางทางปรัชญาที่โสกราตีสเชื่อ ควรชี้นาการกระทาของผู้ปกครองในสังคม โสกราตีสเน้นย ้า ว่าผู้นาต้องจัดลาดับความสาคัญของความสุขของคนส่วนใหญ่มากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ทฤษฎี จริยธรรมนี้พัฒนาโดย Bentham และเผยแพร่โดย John Stuart Mill มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความสุข สูงสุดและลดความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนจานวนมากที่สุด ตามหลักการนี้ การกระทาจะถูกตัดสินตาม ผลลัพธ์และผลที่ตามมา ลัทธิประโยชน์นิยมมีรากฐานมาจากแนวคิดที่ว่าความสุขและการไม่มีความ เจ็บปวดเป็นองค์ประกอบสาคัญของความสุข ในขณะที่ความทุกข์ทรมานและความไม่สบายใจเป็นสิ่ง ที่ต้องหลีกเลี่ยง แนวทางทางจริยธรรมนี้เน้นย ้าถึงความสาคัญของการพิจารณาความเป็นอยู่ที่ดีของ สังคมโดยรวม มากกว่าการพิจารณาผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือกลุ่มที่ได้รับการคัดเลือก ท้ายที่สุด แล้ว เป้าหมายของการใช้ประโยชน์นิยมคือการส่งเสริมความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับผู้คนจานวนมาก ที่สุด ทาให้เป็นปรัชญาที่น่าสนใจและมีผลกระทบในขอบเขตของจริยธรรมและการปกครอง เป้าประสงค์ของแนวคิดเรื่องวิศวกรรมสังคมของรอสโค พาวนด์ นั้น พาวนด์ ให้ข้อสังเกต เกี่ยวกับผลประโยชน์ว่า “เราต้องมีการวัดผลของกฎหมายด้วยผลประโยชน์ (We must measure the law with reference to the interest)” เพราะในอดีตมีความเชื่ อว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจ 4 เท่ากับการรักษาสิทธิส่วนตัวให้กับทุกคน (nothing so essentially interested as in securing to every individual his private rights) ในสมัยโรมันมีผลปฏิบัติในทางความคิดในเรื่องของความ ยุติธรรมของทรัพย์สินเป็นอย่างมากในการที่จะรักษาสถานะทางสังคมที่เป็นอยู่โดยตั้งมลรัฐของรัฐให้ เป็นผู้ปกป้อง ผลประโยชน์และอานาจ (the interests and powers) การกระทาโดยรวมที่เป็น องค์ประกอบเป็นบุคลิกในทางกฎหมายของแต่ละบุคคล ตามที่ระบุไว้ในมลรัฐของ พระเจ้าจัสติเนียน (Justinian) หลักการของกฎหมายมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1. ดาเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ (to live honorably) 2.การไม่ทาร้ายผู้อื่น (not to injure another) 3.ส่งคืนสิ่ งของให้กับทุกคนเมื่ อถึง กาหนด (to give to everyone his due) ผลประโยชน์สาหรับอีกฝ่ายหนึ่งคือการที่ไม่ต้องทาร้ายสิ่ง

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3