2566-3 -สรวิชญ์ ตะเอ -วิทยานิพนธ์
31 ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 845 ได้วางหลักเกี่ยวกับลักษณะ ของสัญญานายหน้าไว้ โดยสัญญานายหน้านั้นเป็นสัญญาที่บุคคลหนึ่ง ซึ่งในทางสากลเรียกว่า “ ตัวการ ” ตกลงให้อีกบุคคลหนึ่งซึ่งได้แก่ “ นายหน้า ” เป็นผู้จัดการหรือชี้ช่องให้ตัวการนั้นได้เข้าทำ สัญญากับบุคคลภายนอกตามที่ตัวการต้องการ และเมื่อนายหน้าดำเนินการเป็นที่สำเร็จแล้ว นายหน้า จะได้รับค่าบำเหน็จจเป็นการตอบแทนจากตัวการตามที่ได้ตกลงกันไว้ (สถิตย เล็งไธสง, 2550) จึงเห็น ได้ว่าสัญญานายหน้านั้น มีคู่สัญญาสองฝ่าย กล่าวคือผู้เป็นตัวการฝ่ายหนึ่งและผู้เป็นนายหน้าอีกฝ่าย หนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์ คือการที่นายหน้าชี้ช่องหรือจัดการให้มีการทำสัญญาตามที่ตัวการต้องการ โดยมีรายละเอียดตามลักษณะสัญญา ดังนี้ 1) ความสามารถของนายหน้า ในเรื่องความสามารถของผู้ที่เป็นนายหน้านั้น มีความเห็นของ นักวิชาการ แยกออกเป็นสองแนวทาง กล่าวคือ แนวทางแรก มีมุมมองว่าในสัญญานายหน้านั้น ผู้ใดก็อาจทำการเป็นนายหน้าได้ เนื่องจากเมื่อ พิจารณาจากบทบัญญัติว่าด้วยนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ไม่มีการกำหนด เกี่ยวกับเรื่องความสามารถของผู้ที่จะเป็นนายหน้าไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใด ในส่วนนี้แม้เป็นผู้ไร้ ความสามารถก็สามารถเข้าทำสัญญาเป็นนายหน้าได้ เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติในเรื่อง นายหน้าแล้ว นายหน้าไม่มีความรับผิดเป็นส่วนตัวใดๆ และโดยสภาพของหน้าที่นายหน้านั้นไม่ ต้องการความสามารถใดๆมากนัก เพียงมีสติสัมปชัญญะก็ย่อมเป็นนายหน้าได้ ในการเป็นตัวแทนเสีย อีกที่ควรจะมีความสามารถมากกว่านายหน้าเพราะเป็นการกระทำการแทนตัวการ แต่กฎหมายก็ยังให้ ผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทนได้ เมื่อเปรียบเทียบความรับผิดชอบของตัวแทนและนายหน้าแล้ว เห็น ได้ว่านายหน้าไม่ต้องรับผิดชอบเท่าตัวแทน ดังนั้น แม้เป็นผู้ไร้ความสามารถก็ยอมเป็นนายหน้าได้ แนวทางที่สอง มองว่าสัญญานายหน้าเป็นสัญญาทั่วไป ไม่มีกฎหมาย ยกเว้นเกี่ยวกับเรื่อง ความสามารถไว้เป็นพิเศษ จึงต้องนำหลักทั่วไปแห่งนิติกรรมสัญญามาใช้บังคับ และปรับใช้เป็นเรื่องๆ ไป เช่น กรณีที่ผู้เยาว์เป็นนายหน้าโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม สัญญา นายหน้านั้นย่อมตกเป็นโมฆียกรรม หากไม่มีการบอกล้างก็ใช้บังคับได้ ส่วนการชี้ช่องหรือจัดการให้ เกิดสัญญาหลักนั้นไม่ผูกพันทรัพย์สินของผู้เยาว์ จึงไม่ต้องพิจารณาถึงเรื่องความสามารถในการทำนิติ กรรม ปัญหาว่าผู้เยาว์จะได้รับค่าบําเหน็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า หากผู้แทนโดยชอบธรรมให้สัตยาบัน หรือไม่บอกล้างสัญญานายหน้าก็บังคับใช้ได้ ย่อมเรียกค่าบําเหน็จได้ แต่หากผู้แทนโดยชอบธรรมบอก ล้างโดยสุจริต ย่อมทำให้สัญญานายหน้าซึ่งเป็นโมฆียกรรมตกเป็นโมฆะกรรมมาแต่ต้น คู่สัญญาต้อง กลับคืนสู่ฐานะเดิม ไม่อาจเรียกค่าบําเหน็จได้ เป็นต้น เมื่อพิจารณาลักษณะของสัญญานายหน้านั้นมีสภาพเป็นอิสระ กล่าวคือ ตัวนายหน้าผู้รับสัญญา นั้นไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวการซึ่งเป็นผู้ให้สัญญา จะเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าววางหลัก เกี่ยวกับหน้าที่ของคู่สัญญานายหน้าไว้เพียงแต่หน้าที่ของตัวการที่จะต้องจ่ายค่าบําเหน็จแก่นายหน้า
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3