2566-3-ปวริศา เอียดทิม-วิทยานิพนธ์
81 4.4 กฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ต้องขังที่ป่วยทางจิตเวช วิจัยฉบับนี้ได้มีการนำหลักกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องมาใช้อ้างอิงทั้งสิ้น 3 ประเทศ ซึ่งได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ และประเทศญี่ปุ่น จากการศึกษาพบว่ากฎหมายของทั้ง 3 ประเทศที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษามานั้น ระบุครอบคลุมถึง ผู้ป่วยทางจิตเวชที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลจิตเวชเพียงเท่านั้น และวิธีการคุ้มครอง สิทธิของประชาชนภายในประเทศให้เข้าถึงการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาวะทางสุขภาพจิตไว้อย่าง เท่าเทียบกันเพียงเท่านั้น แต่ยังไม่มีระบุถึงมาตรการการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยจิตเวชซึ่งเป็นผู้ต้องขัง ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำ/ทัณฑสถานไว้เป็นการเฉพาะ อย่างไรก็ดีผู้วิจัยเห็นว่าการให้ ความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังซึ่งป่วยจิตเวชที่ถูกควบคุมของอยู่ภายในเรือนจำ/ทัณฑ สถานในประเทศไทยนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเรือนจำเป็นสถานที่สำหรับการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาพฤตินิสัยของผู้ที่เคยกระทำความผิดให้กลับตัวเป็นคนดีคืนสู่สังคม ดังนั้น หาก ผู้ต้องขังรายดังกล่าวมีอาการป่วยทางจิตเวชและไม่ได้รับการบำบัดรักษานั้น อาการป่วยดังกล่าวที่ติด ตัวผู้ต้องขังรายนั้นอาจกำเริบและเป็นสาเหตุหลักในการกระทำความผิดทางอาญาซ้ำอีกในอนาคตได้ 4.5 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ต้องขังที่ป่วยทางจิตเวช วิจัยฉบับนี้ได้มีการนำหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้อ้างอิงทั้งสิ้น 3 ฉบับ ซึ่งได้แก่ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551 และพระราชบัญญัติ ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 สิทธิ เสรีภาพของประชาชน และหน้าที่ของรัฐในการให้ความดูแลและคุ้มครองประชานตามหลัก ที่รัฐธรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีดังนี้ ประชาชนชาวไทยทุกคนมีความเสมอภาคและ เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิทธิหรือเสรีภาพ ไม่ว่าจะเพศอะไร มีถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางร่างกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด ไม่ว่าบุคคลจะประกอบอาชีพอะไร เป็นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงาน หรือลูกจ้างของบริษัทก็ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเท่ากันเว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้เฉพาะในส่วนที่ เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรมทุกคนย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่ากัน รัฐจะต้องมีมาตรการดูแลส่งเสริม ป้องกันไม่ให้เกิดอุปสรรคเพื่อให้ทุกคนได้ใช้สิทธิหรือเสรีภาพได้ เหมือนกันทุกคน และสำหรับการคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือผู้ด้อยโอกาสนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ส่วนงานด้านสาธารณสุขรัฐ จะต้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รวมทั้งสนับสนุนให้มีการ พัฒนาภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทย อีกทั้งบริการสาราธณสุขดังกล่าวจะต้องครอบคุลมถึงการ ส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพด้วย ทั้งนี้รัฐ จะต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3