2566-3-ปวริศา เอียดทิม-วิทยานิพนธ์

82 ต่อมาในด้านของสิทธิและการคุ้มครองดูแลผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทย มีการวางหลักไว้ใน พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ.2551 ดังนี้ ผู้ป่วยจิตเวชจิตเวชทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการบำบัดรักษา ตามมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การบำบัดรักษา โดยการผูกมัดร่างกาย กักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วยจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีความจำเป็น เช่นเพื่อเป็นการ ป้องกันการเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแล อย่างใกล้ชิดของผู้บำบัดรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งนี้ผู้ป่วยจิตเวชย่อมมีสิทธิได้รับการคุ้มครองใน ระบบประกันสุขภาพ ประกันสังคมและระบบอื่นๆ ของรัฐอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันตามสิทธิ การรักษาของแต่ละคน และจะต้องเก็บเอาข้อมูลด้านสุขภาพ อาการเจ็บป่วย และวิธีการบำบัดรักษา อาการของผู้ป่วยไว้เป็นความลับห้ามเปิดเผยเว้นแต่ในกรณีที่อาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยหรือผู้อื่น หรือ เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผยได้ หากผู้ป่วยจิตเวชกระทำความผิดทางอาญาและมีคำพิพากษาให้จำคุก กลายเป็นผู้ต้องขังใน เรือนจำนั้น ทางกรมราชทัณฑ์เองก็มีการวางหลักกฎหมายสรำหรับการคุ้มครองและดูแลผู้ต้องขังป่วย จิตเวชไว้ในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ดังนี้ ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับ สุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ผู้บัญชาการเรือนจำจะต้องดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจาก แพทย์โดยเร็ว หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าการรักษาตัวต่ออยู่ใน เรือนจำจะไม่ทำให้อาการดีขึ้นนั้น ทางเรือนจำจะต้องส่งตัวผู้ต้องขังคนดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษา สำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาลหรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตนอกเรือนจำต่อไป และในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนี้ไม่ได้ถือว่าผู้ต้องขังคนนั้นได้รับการปล่อยตัว และหากเกิดกรณีที่ผู้ต้องขังหลบหนีออกไปจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัวนั้นถือได้ว่าผู้ต้องขังคน นั้นมีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา หากเป็นกรณีที่ผู้ต้องขังซึ่งจะได้รับการ ปล่อยตัวมีอาการป่วยที่รุนแรงจนถึงขั้นไม่สามารถออกไปจากเรือนจำได้ในวันปล่อยตัวนั้นและตัว ผู้ต้องขังคนนั้นขออนุญาตอยู่รักษาตัวในเรือนจำต่อไป ผู้บัญชาการเรือนจำสามารถพิจารณาอนุญาต ตามที่เห็นสมควรได้แต่ต้องรายงานให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ทราบด้วย จากกฎหมายทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายทั้งสามฉบับนั้นเป็นกฎหมาย ที่บอกถึงสิทธิและการคุ้มครองดูแลผู้ต้องที่ป่วยจิตเวชเพียงแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น ปัจจุบันยังไม่มี กฎหมายโดยเฉพาะสำหรับการดูแลและคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังจิตเวชโดยตรง ผู้วิจัยจึงเห็นว่าควรมี ระเบียบข้อบังคับโดยตรงสำหรับการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังที่ป่วยทางจิตเวชระหว่างการคุมขังใน เรือนจำไว้เป็นการเฉพาะเพื่อใช้บังคับต่อไปภายใต้หลักกฎหมายของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3