2566-3-สุพิชญา มูสิกะศิริ-วิทยานิพนธ์
29 เช่นกัน เพียงแต่นิติบุคคลนั้นจะต้องเป็นนิติบุคคลที่ จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมี วัตถุประสงค์ที่จะดำเนินการเช่นนั้นได้ (2) วัตถุแห่งสัญญาให้ ในมาตรา 521 ได้เขียนไว้ว่าให้คือการที่ผู้ให้โอนทรัพย์สินของตนโดยเสน่หาให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่ง ดังนั้น คำว่าทรัพย์สินที่ว่าจึงแสดงให้เห็นว่า วัตถุแห่งสัญญาให้ก็คือทรัพย์สิน ที่อาจ เป็นสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ รวมไปถึงสิทธิตามกฎหมายด้วย เช่นสิทธิอันมีหนังสือ ตราสาร สิทธิเรียกร้อง การปลดหนี้ เป็นต้น (3) วัตถุประสงค์ของสัญญาให้ วัตถุประสงค์ของสัญญาให้ ก็คือ การที่ฝ่ายหนึ่งโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตน ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เหมือนกับวัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขาย หรือสัญญาแลกเปลี่ยน (ไผทชิต เอกจริยกร, 2548) (4) เจตนา เนื่องจากการให้นี้เกิดจากการที่คู่สัญญาสองฝ่ายมีการทำคำเสนอสนองต้องตรงกัน ฉะนั้น คำเสนอและคำสนองจะต้องเกิดจากกระบวนการในการก่อเจตนาที่สมบูรณ์เจตนาที่แสดงออก จะต้องตรงกับเจตนาภายใน และต้องไม่วิปริตด้วย อีกทั้ง เจตนาในการให้นี้จะต้องเป็นเจตนาที่จะให้ กรรมสิทธิ์ มิใช่มีเจตนาที่จะให้ใช้ทรัพย์สิน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะมิใช่การให้โดยเสน่หานี้ เจตนาที่สมบูรณ์ คือ เจตนาที่ไม่เกิดความบกพร่องเนื่องจากกระบวนการก่อเจตนา ถูกบิดเบือนไปทำให้เจตนาที่แสดงออกไม่ตรงกับเจตนาภายในของผู้ที่แสดงเจตนาการแสดงเจตนาที่ บกพร่องได้แก่ การสำคัญผิดในสาระสำคัญ การสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน กลฉ้อ ฉล การข่มขู่ (ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์, 2559) การสำคัญผิดในสาระสำคัญ ตามมาตรา 156 คือการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็น สาระสำคัญแห่งนิติกรรม ได้แก่ สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม สำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณี แห่งนิติกรรม หรือสำคัญผิดในตัวทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม ผลของการสำคัญผิดใน สาระสำคัญคือจะตกเป็นโมฆะ(ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์, 2559) ส่วนการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินตามมาตรา 157หมายถึง การเข้าใจข้อเท็จจริงผิดไปหรือไม่ต้องตามความเป็นจริง จนทำให้เจตนาที่แสดงออกมาไม่ตรงกับ เจตนาที่แท้จริงภายใน ความสำคัญผิดประเภทนี้เป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์ ซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะหากไม่มีความสำคัญผิดแล้วนิติกรรมก็ย่อมจะมิได้ทำขึ้น เลย เช่น ผู้รับสำคัญผิดว่าผู้ให้มีเจตนาทำสัญญาให้รถยนต์มือหนึ่งแก่ผู้รับ แต่ความเป็นจริงรถยนต์ เป็นรถมือสองซึ่งผู้รับไม่ต้องการ หากผู้รับรู้ความจริงก็จะไม่เข้าทำสัญญาให้แต่แรกผลของนิติรรมที่ทำ โดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินที่เป็นสาระสำคัญนั้นจะมีผลเป็นโมฆียะ (ศนันท์ กรณ์ โสตถิพันธุ์, 2559)
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3