หนังสือ คำอธิบายกฎหมาย สำหรับพยาบาล

34 หนังสือกฎหมายสำหรับพยาบาล หลังจากหยุดเครื่ องช่วยหายใจอย่างน้อย ๑๐ นาที จากนั้ นให้เจาะตรวจวัดค่าความดันของ คาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือด (PaCO2) ซึ่งมีค่าไม่น้อยกว่า ๖๐ มิลลิเมตรปรอท หรือมีค่า เปลี่ยนแปลงมากขึ้นต่างกันระหว่างก่อนและหลังถอดเครื่องช่วยหายใจไม่น้อยกว่า ๒๐ มิลลิเมตร ปรอท ข้อ ๕ กรณีไม่สามารถทดสอบการไม่หายใจตามข้อ ๔(๔) ได้ สามารถวินิจฉัยสมองตายได้ โดยการตรวจด้วยวิธีที่ยืนยันว่าไม่มีเลือดไหลเวียนเข้าสู่สมอง ได้แก่ cerebral angiography หรือ isotope brain scan เป็นต้น ข้อ ๖ กรณีเด็กทารกอายุระหว่าง ๗ วัน ถึง ๒ เดือน ให้มีการตรวจยืนยันด้วยการตรวจ คลื่นไฟฟ้าสมอง (electroencephalogram) ๒ ครั้ง ห่างกัน ๔๘ ชั่วโมง หากอายุระหว่าง ๒ เดือน ถึง ๑ ปี ให้ตรวจยืนยันด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (electroencephalogram) ๒ ครั้งห่างกัน ๒๔ ชั่วโมง ข้อ ๗ วิธีปฏิบัติในการวินิจฉัยสมองตาย (๑) การวินิจฉัยสมองตายให้กระทำโดยองค์คณะของแพทย์ไม่น้อยกว่า ๓ คน และต้องไม่ ประกอบด้วยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะรายนั้นหรือแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยที่ต้องการอวัยวะไป ปลูกถ่าย หากมีข้อสงสัยให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท (๒) แพทย์ผู้ดูแลผู้ป่วยสมองตายที่อยู่ในข่ายเป็นผู้บริจาคอวัยวะได้ตามเกณฑ์ของศูนย์รับ บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ควรดำเนินการตรวจวินิจฉัยสมองตาย โดยไม่ชักช้าและแจ้งให้ญาติของ ผู้ป่วยทราบ เมื่อผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ที่จะทดสอบการไม่หายใจเพื่อเตรียมความพร้อมของญาติ และ ให้ โอกาสในการบริจาคอวัยวะเมื่อวินิจฉัยสมองตายแล้ว (๓) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือผู้ได้รับมอบหมาย จะต้องร่วมเป็นผู้รับรองการวินิจฉัยสมอง ตายและเป็นผู้ลงนามรับรองการตาย (๔) แพทย์ควรให้การดูแลผู้ป่วยตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในเกณฑ์บริจาคอวัยวะได้ ของศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย….” อย่างไรก็ดี ข้อบังคับแพทย์สภาและประกาศแพทยสภานั้น เป็นเพียงหลักเกณฑ์ทั่วไปในทาง การแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าบุคคลที่อยู่ในสภาวะนั้นถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ แต่ผลในทางด้านกฎหมาย นั้นยังมีข้อสงสัยว่าการตายในทางการแพทย์ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการตายในทางกฎหมายด้วยหรือไ ม่ และการที่แพทย์ได้ทำการผ่าตัดเพื่อนำอวัยวะจากผู้ป่วยสมองตายไปปลูกถ่าย แพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะ มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในบางประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จึงได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองแพทย์ให้ ไม่ต้องรับผิด ในกรณีนำอวัยวะออกจากศพด้วยเจตนาสุจริต และในบางประเทศได้ออกกฎหมายกำหนดให้ เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลที่รักษาพยาบาลผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพเหมาะสมจะเป็นผู้บริจาคอวัยวะต้อง ขอรับบริจาคอวัยวะผู้ป่วยจากญาติทุกรายหากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จะมีความผิดตามกฎหม าย

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3