วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ

พ.ศ. 2542 เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรา 9 หากผู้ฟ้องคดีได้รับ ความเดือดร้อนหรือเสียหายจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ศาลปกครองย่อมมีอ�ำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีค�ำสั่งได้ ในการด�ำเนินงานของรัฐทุกระบบต้องถูกตรวจสอบโดยศาลได้ ยกเว้นเป็นเรื่อง ตรวจสอบไม่ได้โดยสภาพ เช่นการกระท�ำในทางนิติบัญญัติ การกระท�ำในทาง ตุลาการ และการกระท�ำของรัฐบาลที่เป็นงานด้านนโยบายหรืองานทางการเมือง หรือนโยบายต่างประเทศหรือในความสัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติ ค�ำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 48/2547 เจ้าหน้าที่ต�ำรวจปฏิเสธ คืนของกลางให้ผู้มีสิทธิเป็นละเมิด “การที่เจ้าหน้าที่ต�ำรวจเก็บรักษารถยนต์ ที่เกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณีฝ่ายใดได้รับความเสียหายไว้เป็นของกลางอย่างอื่น ไม่ใช่ของกลางในคดีอาญา ตามข้อบังคับการเก็บรักษาของกลาง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2480 ประกอบกับประมวลระเบียบต�ำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 15 ของกลาง และของส่วนผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ต�ำรวจจึงมีหน้าที่คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้มีสิทธิ ควรได้รับของกลางหรือผู้มีสิทธิได้รับตามกฎหมาย เมื่อเจ้าหน้าที่ต�ำรวจทราบชื่อ และที่อยู่ของผู้มีความใกล้ชิดหรือเกี่ยวพันกับผู้มิสิทธิในรถยนต์ของกลางแล้ว แต่กลับปฏิเสธสิทธิของบุคคลดังกล่าว จึงเป็นการกระท�ำละเมิดอันเกิดจาก การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย” บทวิเคราะห์ ผู้เขียนบทความเห็นว่าควรน�ำแนวทางการแบ่งแยกการใช้อ�ำนาจ สอบสวนของเจ้าพนักงานต�ำรวจตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญากับการ กระท�ำทางปกครองโดยอาศัยภาระหน้าที่ในการจัดท�ำบริการสาธารณะเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ หากมีข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ในการเก็บรักษาของกลางส่วนนี้จึงอยู่ในอ�ำนาจของศาลปกครอง แต่หาก เป็นการด�ำเนินกระบวนการยุติธรรมในทางคดีอาญาของพนักงานสอบสวนหรือ เจ้าพนักงานต�ำรวจ ในขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน เพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิดอาญาหรือการรวบรวมพยานหลักฐานที่ วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 6 ฉบับที่ 8 กรกฎาคม 2560 - มิถุนายน 2561 60

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3