วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ

กรณีการเก็บรักษาของกลางหาได้เป็นไปเพื่อประโยชน์อันเป็นการ เฉพาะตัวของพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานต�ำรวจไม่ การปล่อยให้ ความรับผิดทางละเมิดในกรณีที่ปฏิบัติงานในหน้าที่และเกิดความเสียหายแก่เอกชน เพราะการเก็บรักษาของกลางหรือสิ่งที่ยึดเก็บรักษาไว้ไม่สามารถกระท�ำได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการพิจารณาให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มักจะน�ำหลักกฎหมายเอกชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาพิจารณา การกระท�ำและท�ำให้หน่วยงานของรัฐต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทุกกรณี และ พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานต�ำรวจจะต้องรับผิดในการกระท�ำต่าง ๆ เป็นการเฉพาะตัวเสมอ เมื่อการที่ท�ำไปท�ำให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อบุคคล ภายนอกเพียงใดก็จะมีการฟ้องไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่เต็มจ�ำนวน ทั้งที่บางกรณี เกิดขึ้นโดยความไม่ตั้งใจหรือความบกพร่องของหน่วยงานในการหาพื้นที่ เก็บรักษาไม่ได้ หรือไม่มีงบประมาณในการให้เช่าพื้นที่จึงต้องมีการเก็บรักษา ของกลางเท่าที่จะปลอดภัยได้ ซึ่งระบบนั้นมุ่งหมายแต่จะได้เงินครบโดยไม่ค�ำนึง ถึงความเป็นธรรมที่จะมีต่อแต่ละคน กรณีเป็นการก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม แก่เจ้าหน้าที่และยังเป็นการบั่นทอนก�ำลังขวัญในการท�ำงานของพนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานต�ำรวจ จนบางครั้งกลายเป็นปัญหาในการบริหารเพราะพนักงาน สอบสวนหรือเจ้าพนักงานต�ำรวจไม่กล้าตัดสินใจด�ำเนินงานเท่าที่ควร เพราะเกรง ความรับผิดชอบที่จะเกิดแก่ตน เมื่อเป็นเช่นนี้ การน�ำพระราชบัญญัติความรับผิด ทางละเมิด พ.ศ. 2539 มาใช้บังคับกับกรณีการสูญหายหรือเสียหายของกรณี การเก็บรักษาของกลางแล้ว ควรให้ศาลปกครองสามารถเข้าไปตรวจสอบการกระท�ำ ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในการด�ำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ แต่จะได้เพียงใดในประเทศไทยยังคงมีการวินิจฉัยเรื่องนี้ในแนวทางให้ไปยัง ศาลยุติธรรมอยู่ สาเหตุมาจากการตีความโดยเคร่งครัดว่าการยึด อายัดของกลาง หรือสิ่งของในคดีอาญา เป็นการด�ำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา หากพิจารณาถึงสิ่งของที่ยึดหรืออายัดที่กระท�ำไปในกระบวนทางอาญา คือสิ่งของ ซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือที่ได้มาโดยการกระท�ำผิด หรือได้ใช้หรือสงสัยว่าได้ใช้ ในการกระท�ำผิด หรือ ซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ กรณีสิ่งของที่ท�ำหรือ วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 6 ฉบับที่ 8 กรกฎาคม 2560 - มิถุนายน 2561 62

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3