รายงานการประชุมวิชาการระดับชาติทางนิติศาสตร์-ครั้งที่-1-ภายใ
31 กล่าวถึงไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศโดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่ของนก น้้า ค.ศ. 1971 โดยมาตรา 1.1 ในอนุสัญญา ฯ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “พื้นที่ชุ่มน้้า หมายถึง ที่ลุ่ม ที่ราบ ลุ่ม ที่ชื้นแฉะ พรุ แหล่งน้้า ทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้้าขังหรือท่วมอยู่ถาวร และชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้้านิ่งและน้้าไหล ทั้งที่เป็นน้้าจืด น้้ากร่อยและน้้าเค็มรวมไปถึงชายฝั่งทะเล และที่ในทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้้าลดลงต่้าสุด มีความลึกของระดับน้้าไม่เกิน 6 เมตร” นอกจากนี้ในมาตรา 2.1 ยังได้ขยายความต่อไปอีกว่า “พื้นที่ชุ่มน้้า อาจรวมถึงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้้าและชายฝั่งทะเล ซึ่งติดกับพื้นที่ ชุ่มน้้าและเกาะหรือบริเวณของน้้าที่มีความลึกมากกว่า 6 เมตรจากบริเวณน้้าลงต่้าสุด” [5] และเมื่อ พิจารณาจากความหมายของค้าว่า พื้นที่ชุ่มน้้าที่ปรากฏในเอกสารและเว็บไซต์ของส้านักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางผู้รับผิดชอบด้านพื้นที่ชุ่มน้้าแล้วพบว่า ได้ ให้ความหมายของพื้นที่ชุ่มน้้าไว้เหมือนกับอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่ของนกน้้า ค.ศ. 1971 ทุกประการ [6] และจากการประชุมคณะอนุกรรมการ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้้าครั้งที่ 3/2557 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 ได้อธิบายความหมายของพื้นที่ชุ่มน้้าไว้ เพิ่มเติมว่า “พื้นที่ชุ่มน้้า หมายถึง พื้นที่แหล่งน้้าในแผ่นดินที่ทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ห้วย หนอง คลอง บึง บ่อ กระพัง (ตระพัง) แม่น้้า ล้าธาร แคว ละหาน ชายคลอง ฝั่งน้้า สบธาร สระ ทะเลสาบ แอ่ง ลุ่ม กุด ทุ่ง กว๊าน มาบ ป่าบุ่ง ป่าทาม พรุ สนุ่น น้้าตก แก่ง ส่วนที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ เขื่อน อ่างเก็บน้้า นาข้าว นาเกลือ การท้าฟาร์ม หรือคลองส่งน้้าต่าง ๆ ที่มีลักษณะท่วมอยู่ถาวรและชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่ง น้้านิ่งและน้้าไหล ทั้งที่เป็นน้้าจืด น้้ากร่อย และน้้าเค็ม และพื้นที่ที่เป็นทะเลและชายฝั่งทะเล ตลอดจน รวมถึงระบบนิเวศชายฝั่งและหมู่เกาะซึ่งล้อมรอบด้วยระบบนิเวศที่มีความเชื่อมโยงกัน ได้แก่ หมู่เกาะ หาดหิน หาดทราย หาดโคลน หาดเลน ชายทะเล พืดหิน แนวปะการัง หญ้าทะเล คุ้ง อ่าว ดินดอน สามเหลี่ยม ชะวากทะเล ป่าเลน ป่าโกงกาง และป่าจาก เป็นต้น” [7] ซึ่งหากพูดถึงความส้าคัญของพื้นที่ชุ่มน้้า นั้น พบว่าประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้้านั้น มีมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น เป็นแหล่งทรัพยากรและ ผลผลิตธรรมชาติที่มนุษย์เข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชและสัตว์ มีความส้าคัญ ทางนิเวศวิทยา ช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยการที่พื้นที่ชุ่มน้้าสร้างงานและรายได้ ให้แก่ ประชาชนในพื้นที่ ช่วยป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้้าชายฝั่งทะเลจะช่วยป้องกัน พายุและบรรเทา ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินและชีวิตของชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเล นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งศึกษาวิจัย ทางธรรมชาติ พื้นที่ชุ่มน้้าเป็นระบบนิเวศที่มีคุณค่าและความส้าคัญต่อวิถีชีวิตทั้ง ของมนุษย์ พืช และสัตว์ ทั้งทางนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งในระบบท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ [4]
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3