รายงานการประชุมวิชาการระดับชาติทางนิติศาสตร์-ครั้งที่-1-ภายใ

32 อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญ ระหว่างประเทศ ได้ถูกก้าหนดและตั้งชื่อตามชื่อสถานที่จัดให้มีการประชุมเพื่อรับรองอนุสัญญาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ณ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่าน อนุสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลง ระหว่างรัฐบาลซึ่งก้าหนดกรอบการท้างานส้าหรับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่ อาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้้าอย่าง ชาญฉลาด ในทุก ๆ ด้าน ตลอดจนเพื่ออนุรักษ์ และยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้้าในโลก โดยมีพันธกิจ ที่ส้าคัญของอนุสัญญากล่าวถึงในการด้าเนินงานระดับชาติโดยความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อก่อให้เกิด การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกภูมิภาคของโลก ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 ประเทศไทยได้มอบสัตยาบัน สารเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์ นับเป็นล้าดับที่ 110 ของภาคีอนุสัญญาฯ โดยเสนอพื้นที่ชุ่มน้้า พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยจังหวัดพัทลุงเป็น Ramsar Site แห่งแรกของประเทศไทย [8] และในปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) จ้านวน 15 แห่ง [9] อนุสัญญาฯ มีหลักการที่จะไม่ละเมิดอ้านาจอธิปไตยของภาคี ดังนั้น การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ พื้นที่ชุ่มน้้าในประเทศย่อมเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศไทย อนุสัญญาว่าด้วย พื้นที่ชุ่มน้้าจึงถือเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถน้ามาใช้ในการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้้า คุณค่าและความส้าคัญประการหนึ่งของพื้นที่ชุ่มน้้าคือการเป็นพื้นที่รองรับน้้า ช่วยชะลอ และ ป้องกันน้้าท่วม แต่ในปัจจุบันพบว่าพื้นที่ชุ่มน้้าต่าง ๆ ก้าลังตกอยู่ในภาวะถูกคุกคาม พื้นที่ชุ่มน้้าในประเทศ ไทยโดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตแรมซาร์ ได้ถูกท้าลายหรือเปลี่ยนสภาพไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเกษตร การเพาะปลูก การประมง การขยายตัวเมือง การพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น [10]; [4] ซึ่งสาเหตุการเสื่อมโทรมที่ส้าคัญ ส่วนใหญ่มาจากประชาชนขาดข้อมูลพื้นฐานเพื่อการวางแผนการจัดการ พื้นที่ชุ่มน้้า นโยบายและการบริหารจัดการที่แยกส่วนไม่ชัดเจน ขาดความตระหนักถึงคุณค่าและ ความส้าคัญของพื้นที่ชุ่มน้้าในการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ชุมชนขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมวางแผนและ จัดการพื้นที่ชุ่มน้้า และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการดูแลรักษาทรั พยากรพื้นที่ชุ่มน้้ายังไม่มี ประสิทธิภาพเท่าที่ควรและยังไม่เอื้ออ้านวยต่อการจัดการพื้นที่ชุ่มน้้า

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3