รายงานการประชุมวิชาการระดับชาติทางนิติศาสตร์-ครั้งที่-1-ภายใ

37 พื้นที่ เนื่องจากตามเนื้อความของพระราชบัญญัติจะให้ความคุ้มครองแก่พื้นที่ป่าหรือพื้นที่ชุ่มน้้าที่อยู่ ภายในบริเวณของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามที่กฎหมายก้าหนดไว้เท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงบริเวณ ใกล้เคียง ซึ่งหากพื้นที่ที่กฎหมายไม่ได้มีการคุ้มครองนั้น ก็อาจจะท้าให้เกิดการรุกล้้า หรือบุกรุกของ ประชาชนในการเข้าแสวงหาผลประโยชน์หรือสร้างเป็นพื้นที่ท้ากิน อันจะส่งผลให้เกิดการเสื่อมโทรมหรือ สูญเสียระบบนิเวศของบริเวณนั้นได้และการสูญเสียดังกล่าวอาจรุกลามเข้ามาถึงพื้นที่ภายในบริเวณของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้ [19] 6. พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ได้ถูกตราขึ้นเพื่อให้การคุ้มครองพื้นที่ป่าสงวนและ ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่นั้น ซึ่งในที่นี้ย่อมรวมถึงพื้นที่ป่าที่อยู่ภายในบริเวณของพื้นที่ชุ่มน้้าด้วย จึงท้าให้พื้นที่ชุ่มน้้าจึงถูกคุ้มครองด้วยพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ในมาตรา 14 ด้วย ซึ่ง ในทางปฏิบัติ การที่จะให้ความคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาตินั้น ยังไม่มี ประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากยังมีการอนุญาตให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้ และยังเปิดช่องทางให้สามารถท้าไม้หรือการเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนได้ โดยต้องขออนุญาตจาก พนักงานเจ้าหน้าที่ ตามบทบัญญัติมาตรา 14 มาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 16 ทวิ มาตรา 16 ตรี มาตรา 17 มาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนที่เข้ารุกล้้าในพื้นที่ป่าสงวน บางพื้นที่เพื่อท้ามาหาเลี้ยงชีพโดยที่ไม่ได้มีการขออนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็น ประชาชนในกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิดภูเขามาเป็นเวลานาน การจะบังคับให้ประชาชนในกลุ่มดังกล่าวปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติจึงมีความยากพอสมควร เพราะจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของ ประชาชน น้ามาสู่การร้องเรียนต่อภาครัฐเพื่อมิให้มีการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งการกระท้าดังกล่าวย่อม ส่งผลให้ทรัพยากรป่าไม้มีจ้านวนลดน้อยลงและเกิดความเสียสมดุลของระบบนิเวศได้ [20] 7. พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ได้ก้าหนดให้มีการอนุรักษ์และสงวนพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งใน ที่นี่ ย่อมรวมถึงพื้นที่ชุ่มน้้าด้วย โดยได้มีการก้าหนดไว้ในมาตรา 54 ซึ่งเป็นการกล่าวถึงการที่ห้ามไม่ให้ บุคคลเข้าไปก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระท้าด้วยประการใด ๆ อันเป็นการท้าลายป่า หรือเข้า ยึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เว้นแต่จะกระท้าภายในเขตที่ได้จ้าแนกไว้เป็นประเภท เกษตรกรรม และรัฐมนตรี ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือโดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากการวิเคราะห์ในมาตราดังกล่าวนี้พบว่าการที่บทบัญญัติกฎหมายได้เปิดช่องทางให้สามารถเข้าท้า ประโยชน์ในเขตพื้นที่ที่เป็นประเภทเกษตรกรรมนั้น การกระท้าดังกล่าวย่อมส่งผลต่อพื้นที่รอบข้างของ

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3