รายงานการประชุมวิชาการระดับชาติทางนิติศาสตร์-ครั้งที่-1-ภายใ

38 พื้นที่เกษตรกรรมนั้นด้วย เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนของสารพิษใด ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการเสียสมดุลของ ระบบนิเวศในบริเวณดังกล่าวด้วย [21] บทสรุปและข้อเสนอแนะ จากการวิเคราะห์พระราชบัญญัติต่าง ๆ พบว่าในตัวบทกฎหมายบางบทยังคงมีจุดอ่อน ซึ่งส่วน ใหญ่จะเป็นในขอบเขตประเด็นของการก้าหนดอ้านาจหน้าที่ในการรับผิดชอบขององค์กรหรือหน่วยงาน ต่าง ๆ ที่ก้าหนด ไว้เพียงในลักษณะของภาพรวมโดยกว้างเท่านั้น และในการตีความของขอบเขตพื้นที่ใน การใช้ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง หรือทรัพยากรน้้า ที่ยังไม่มีความชัดเจน จึงท้าให้เป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้ภายใต้ระบบกฎหมายในปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึง พื้นที่ชุ่มน้้าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ทุกคนมีสิทธิใช้ประโยชน์ร่วมกัน พื้นที่ชุ่มน้้าเหล่านี้จึงต้องอยู่ ภายใต้การดูแลรักษา และการบริหารจัดการของภาครัฐและภาคประชาชนร่วมกัน และควรมีการกระจาย อ้านาจลงสู่ส่วนท้องถิ่นอย่างชัดเจน มีการออกเป็นข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อก้าหนดขอบเขตอ้านาจหน้าที่ทั้ง อ้านาจหน้าที่ของภาครัฐ และภาคประชาชน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาในการบริหารงานที่ซ้อนทับกัน และควรมีการให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงข้อคิดเห็นในการที่จะร่วมร่างกฎหมายหรือ ข้อบัญญัติต่าง ๆ โดยที่การแสดงความคิดเห็นของภาคประชาชนนั้นต้องค้านึงถึงหลักความชอบด้วย กฎหมายและการไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อเป็นการจัดการพื้นที่ชุ่มน้้าภายใน ท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งถือเป็นการจัดการที่เริ่มจากขอบเขตพื้นที่เล็ก ๆ ภายในท้องถิ่นของตน และเป็นสิ่งที่ สามารถจะกระท้าได้ง่ายที่สุดในทางปฏิบัติ [5] เพื่อให้การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้้ามีความชัดเจนมาก ยิ่งขึ้น ควรมีการตรากฎหมายที่ใช้ในการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้้าในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นการ ตอบเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฯ ที่ในเนื้อความได้กล่าวว่าประเทศสมาชิกจ้าเป็นต้องมีกฎหมาย ภายในประเทศเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่ชุ่มน้้า ซึ่งในการตรากฎหมายการอนุรักษ์และคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้้า ในประเทศไทยนั้น อาจใช้กรอบแนวคิดตามเนื้อความในอนุสัญญาแรมซาร์ เป็นต้นแบบที่ในอนุสัญญาฯ มาตรา 2 กล่าวไว้ว่าประเทศภาคีจะต้องก้าหนดพื้นที่ชุ่มน้้าที่เหมาะสมภายในดินแดนของตนเพื่อรวบรวม ไว้ในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญในระดับนานาชาติ หรือในมาตรา 3 ที่ได้ก้าหนดในประเด็นของ มาตรการการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด และในมาตรา 4 ที่ประเทศภาคีจะต้องมีการจัดตั้งให้พื้นที่ชุ่ม น้้าเป็นพื้นที่สงวนทางธรรมชาติและให้การคุ้มครองที่เพียงพอ

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3