เอกสารประชุมวิชาการระดับขาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 28 2561
913 งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสังคมที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน (Research and Innovation for Social Stability, Prosperity and Sustainability) Discharge Charge เมื่อเทียบกับความเข้มข้นที่ 0.2 M และ 0.1 ตามลาดับ ซึ่งสารละลายแมกนีเซียมซัลเฟตมีสภาพเป็นเกลือซึ่งเกลือจะไปลด ความต้านทานภายในแบตเตอรี่เพื่อช่วยในการกาจัดผลึกซัลเฟตที่เกาะบนแผ่นอิเล็กโทรดจึงเป็นผลทาให้มีค่ากระแสไฟฟ้าที่ วัดได้สูงขึ้นดังนั้นทั้งสองปŦจจัยข้างต้นจึงมีผลทาให้แบตเตอรี่ที่ได้รับการฟื้นฟูมีสภาพการทางานที่ดีขึ้นซึ่งส่งผลให้แบตเตอรี่ นั้นสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าออกมาใช้งานใหม่ได้ ปฏิกิริยาเริ่มต้นของแบตเตอรี่ก่อนการฟื้นฟูด้วยแมกนีเซียมซัลเฟตจะ เหมือนกับการฟื้นฟูด้วยกรดซัลฟิวริก เพราะในแบตเตอรี่สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่วจะมีกรดซัลฟิวริกเป็นสารละลายอิเล็กโทร ไลต์โดยมีสมการในการทาปฏิกิริยาดังต่อไปนี้ Anode PbSO 4 (s) Mg (OH) 2 (aq) Pb (s) + SO 4 2- (aq) + 2e - + Mg 2+ + 2H + Cathode : PbSO 4 (s) + 2e - Mg (OH) 2 (aq) PbO 2 (s ) SO 4 2- (aq ) + Mg 2+ + OH - ปฏิกิริยารวม : 2PbSO 4 (s) + 2Mg (OH) 2 (aq) Pb (s) + PbO 2 (s) + 2MgSO 4 (aq) + 2H 2 O (l) ดังนั้นจึงสามารถสรุปปฏิกิริยาของการฟื้นฟูแบตเตอรี่ด้วยแมกนีเซียมซัลเฟตได้ดังนี้ Pb (s) + PbO 2 (s) + 2MgSO 4 (aq) 2PbSO 4 (s) + 2Mg (OH) 2 (aq) + 2H 2 O (l) 2.3 การฟื้นฟูดšวยกรดเอทĉลีนไดเอมีนเตตระอะàĉตĉก EDTA) ได้ผลการทดลองดังตารางที่ 4 ตาราÜที่ 4 ผลการตรวจสภาพหลังจากฟื้นฟูแบตเตอรี่ด้วย EDTA หมายเหตุ ค่าความถ่วงจาเพาะ (ถ.พ.) เÞลี่ย และ ค่า pH เÞลี่ย ได้จากการวัดในแต่ละช่องของแบตเตอรี่ สารละลายกรดเอทิลีนไดเอมีนเตตระอะซิติกที่ใช้ฟื้นฟูแบตเตอรี่มีสภาพที่เป็นกรดน้อยลงซึ่งจากผลการทดลอง พบว่าการศึกษาปŦจจัยความเข้มข้นของที่มีผลต่อการฟื้นฟูแบตเตอรี่นั้นเมื่อชาร์ตกระแสไฟฟ้า 6 V ที่เวลาคงที่ 60 นาที ดัง ภาพที่ 4.9 และ 4.10 พบว่า ที่ความเข้มข้น 0.3 M จะมีค่าการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงที่สุด (แบตเตอรี่รถยนต์ 25.19 A และ แบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ 20.11 A ) รองลงมาได้แก่ ที่ความเข้มข้น 0.2 M (แบตเตอรี่รถยนต์ 12.25 A และแบตเตอรี่ รถจักรยานยนต์ 12.53 A ) และ 0.1 M (แบตเตอรี่รถยนต์ 9.08 A และแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ 6.03 A ) ตามลาดับ เมื่อ เปลี่ยนสภาวะของการศึกษาที่ความเข้มข้นเท่ากันโดยเปลี่ยนระยะเวลาในการชาร์ตกระแสไฟฟ้า 6 V ที่เวลา 60, 120 และ 180 นาทีตามลาดับ พบว่า ความเข้มข้น 0.3 M ชาร์ตกระแสไฟฟ้าที่ 180 นาที จะมีค่าการจ่ายกระแสไฟฟ้าสูงที่สุด (แบตเตอรี่รถยนต์ 27.30 A และแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ 25.01 A ) รองลงมาได้แก่ ความเข้มข้น 0.2 M ชาร์ต กระแสไฟฟ้าที่ 120 นาที (แบตเตอรี่รถยนต์ 18.11 A และแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ 16.53 A ) และ 0.1 M ชาร์ต กระแสไฟฟ้าที่ 60 นาที (แบตเตอรี่รถยนต์ 9.23 A และแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ 8.15 A ) ตามลาดับ จากผลการทดลอง ข้างต้นสามารถสรุปผลได้ว่าความเข้มข้นและระยะเวลาในการชาร์ตกระแสไฟฟ้ามีผลต่อการฟื้นฟูแบตเตอรี่เนื่องจากสามาร วัดค่าของการจ่ายกระแสไฟฟ้าออกมาได้โดยเมื่อชาร์ตกระแสไฟฟ้า 6 V ที่เวลาคงที่ 60 นาที และเมื่อเปลี่ยนระยะเวลาใน การชาร์ตกระแสไฟฟ้า 6 V ที่เวลา 60, 120 และ 180 นาทีตามลาดับที่ความเข้มข้นเดียวกันพบว่าที่ความเข้มข้น 0.3 M จะให้ค่าการจ่ายกระแสไฟฟ้าและอุณหภูมิภายในแบตเตอรี่สูงสุด จึงส่งผลให้ค่าอื่นėที่วัดได้ ได้แก่ ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า ค่าความต้านทาน และค่า CCA เพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับความเข้มข้นที่ 0.2 M และ 0.1 ตามลาดับ ซึ่งสารละลายกรด แบตเตอรี่ ความ เข้มข้น (M) A V (20 K ) CCA ถ . พ . (เÞลี่ย) pH (เÞลี่ย) T ( ◦ C) เวลา แช่ (นาที) เวลา ชาร์ต (นาที) รถยนต์ 3 0.1 9.08 10.51 1.20 103 1.21 2.60 28.2 10 60 9.23 10.73 1.18 105 1.26 2.60 31.5 10 60 0.2 12.25 10.66 1.16 130 1.24 3.20 30.1 10 60 18.11 10.76 1.12 149 1.24 3.20 35.4 10 120 0.3 25.19 11.36 1.13 140 1.25 3.80 34.1 10 60 27.30 12.56 1.09 159 1.25 3.80 39.1 10 180 รถจักรยานยนต์ 3 0.1 6.03 8.12 1.05 10.89 1.24 2.60 29.5 10 60 8.15 9.92 1.01 11.32 1.24 2.60 30.8 10 60 0.2 12.53 9.06 0.88 12.00 1.24 2.70 29.8 10 60 16.53 10.56 0.61 12.13 1.24 2.70 35.3 10 120 0.3 20.11 10.21 0.65 14.00 1.24 3.10 33.6 10 60 25.01 11.20 0.40 15.09 1.24 3.10 38.6 10 180
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3