เอกสารประชุมวิชาการระดับขาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 28 2561

917 งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสังคมที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน (Research and Innovation for Social Stability, Prosperity and Sustainability) 2 บทน้า น ้าเสียจากบ้านเรือน ชุมชน และจากโรงงานอุตสาหกรรมประเภท โรงÛ่าสัตว์ โรงผลิตกระดาษ โรงงาน ทอผ้า และโรงงานประกอบอาหาร จัดเป็นน ้าเสียประเภทน ้าเสียอินทรีย์มีการปนเปŚŪอนของสารจ้าพวกคาร์โบไăเดรต โปรตีน ไขมันจากเศษอาหาร และคราบน ้ามันที่เหลือจากการประกอบอาหาร น ้าเสียประเภทนีหากปล่อยทิงไว้จะเกิดการ หมักหมม การเน่าเหม็นและเป็นอันตรายกับสัตว์น ้า ซึ่งน ้าเสียเหล่านีสามารถน้ามาบ้าบัดโดยวิธีกระบวนการทางเคมี (Chemical process) ท้าได้โดยเติมสารเคมีเพื่อท้าให้เกิดตะกอน Coagulant) สารเคมีที่นิยมใช้คือ สารส้ม (โพแทสเซียม อะลัม) [1] ซึ่งสารเคมีจะท้าให้เกิดการรวมตัวของคอลลอยด์ขนาดเล็กในน ้าเสียแล้วเกิดการตกตะกอน แต่การบ้าบัดน ้า เสียโดยวิธีกระบวนการทางเคมีจะส่งผลท้าให้เกิดการปนเปŚŪอนของโลหะในน ้าและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ ยังมี ค่าใช้จ่ายสูง จึงมีแนวคิดการน้าสารจากธรรมชาติจ้าพวกสารสกัดแทนนินมาใช้เป็นสารสร้างตะกอนมาบ้าบัดน ้าเสีย ซึ่งมีต้นทุนและความเป็นพิษต่้ากว่าการใช้สารเคมี และจากงานวิจัยของùทัยรัตน์ [2] ได้น้าสารสกัดแทนนินจากใบมัน ส้าปะหลังมาบ้าบัดคุณภาพน ้าเสีย พบว่า ค่าความขุ่น ค่าการน้าไôôŜา ค่าการละลายตัวของแก๊สออกซิเจนในแหล่งน ้า (Dissolved Oxygen; DO) และค่าความต้องการปริมาณแก๊สออกซิเจนทางชีวภาพในแหล่งน ้ามีค่าดีขึน แทนนินเป็นสารประกอบพอลิôŘนอล มีสถานะเป็นกรดอ่อน สามารถตกตะกอนกับโปรตีนประเภทต่างė เช่น เจลลาติน ไกลโคไซด์ อัลคาลอยด์ รวมทังโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น เซลลูโลส เพกติน และโลหะหนักบางชนิด เช่น เหล็ก ตะกั่ว และสังกะสี โดยพบว่ามีพืชหลายชนิดที่มีสารแทนนินเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ ใบฝรั่ง ใบเงาะ ใบยาง ใบมันส้าปะหลัง ใบทับทิม ใบมังคุด ใบเคี่ยม เปลือกทับทิม เปลือกเงาะ เปลือกมังคุด และกาบมะพ ร้าว [3] การสกัดแทนนินส่วนใหญ่สกัดด้วยตัวท้าละลาย เช่น น ้า แอลกอăอร์ และอะซิโตน หรือใช้ตัวท้าละลายผสม เช่น เม ทานอลกับน ้า เอทานอลกับน ้า และอะซิโตนกับน ้า [4] ส่วนการวิเคราะห์หาปริมาณสารสามารถหาได้หลายวิธี เช่น เทคนิคทางเคมีไôôŜา Electrochemistry) เทคนิคโครมาโทกราôŘ (Chromatography) และเทคนิค UV-Visible spectroscopy ในงานวิจัยนีจะใช้เทคนิค UV-Visible spectroscopy เนื่องจากเทคนิคนีจะใช้วิเคราะห์สารอินทรีย์ สารประกอบเชิงซ้อน ทังที่มีสีและไม่มีสี สามารถวิเคราะห์ได้ในเชิงคุณภาพและปริมาณ และเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่าง แพร่หลาย [5] งานวิจัยนีมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารสกัดแทนนินในใบฝรั่งและเปลือกเงาะโดยเทคนิค UV-Visible spectroscopy และศึกษาประสิทธิภาพการบ้าบัดน ้าเสียโดยใช้สารสกัดแทนนินจากใบฝรั่งและเปลือกเงาะ เป็นสารสร้างตะกอนโดยเทคนิคการตรวจ DO, pH และของแข็งแขวนลอย Suspended solids; SS) üิíีการüิÝัย เก็บตัวอย่างใบฝรั่งและเปลือกเงาะมาล้างท้าความสะอาดและเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิไม่เกิน 20 o C โดยน้า ใบฝรั่งสด 305.30 g มาหั่นและอบในตู้อบลมร้อน (Memmert, ULM 600) ที่อุณหภูมิ 50 o C จนน ้าหนักคงที่ ชั่งน ้าหนัก (Mettler, ML.204) และบดด้วยเครื่องปŦũน (Philips, HR-2011) ส่วนตัวอย่างเปลือกเงาะใช้ปริมาณ 501.16 g แล้วเตรียม ตัวอย่างเช่นเดียวกับใบฝรั่ง การสกัดตัüอย่างĔบòรัęง : น้าตัวอย่างใบฝรั่งที่บดละเอียด 228.10 g มาสกัดด้วยตัวท้าละลายเอทานอล (98.9% J.T.Baker ) ในอัตราส่วน 1:3 ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง และกรองเอาส่วนสารละลายเข้าเครื่องหมุน เหวี่ยง (Hettich zenteifugen, EBA20) ความเร็ว รอบ นาที เป็นเวลา นาที แยกตะกอนทิง แล้วน้าสารละลาย ไประเหยตัวท้าละลายออกด้วยเครื่องระเหยแบบลดความดัน (Buchi, Rotavapor R-210) o C จนสารละลายเริ่มหนืด แล้วน้าสารสกัดที่ได้มาเติมสารละลายอะซิเตต บัôเôอร์ mM pH 4. ในอัตราส่วน และมาสกัดด้วยเอทิล อะซิเตต . Carlo Eaba) อีก 2 ครัง ที่อุณหภูมิห้อง น้าส่วนที่สกัดได้มาระเหยภายใต้สุญญกาศ ชั่งสารสกัดที่ได้ การสกัดเðúČอกเงาะ : น้าเปลือกเงาะที่บดละเอียด 68.80 g มาสกัดด้วยน ้าในอัตราส่วน 1:4 ที่อุณหภูมิ 90 o C เป็นเวลา 3 ชั่วโมง กรองแล้วน้าไประเหยเอาน ้าออกจนสารละลายเริ่มหนืด [6] การĀาðริöาèแทนนิน 1) น้าสารละลายแทนนินมาตรฐาน (Fluka Chemika) 20 mg/ml 0.2 ml มาเติมสารละลายโôลิน ไซโอแคล ทู 10% (MERCK) 2.5 ml น ้ากลั่น 2. ml และสารละลายโซเดียมคาร์บอเนต 7 ( . UNIVAR) 2 ml เขย่าเป็นเนือ

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3