Proceeding2562

1056 การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 29 ประจ�ำปี 2562 วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน วิธีการทดลอง แบ่งการทดลองออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ศึกษาอัตราการกิน และความสามารถในการย่อยสลายขยะอินทรีย์ของกิ้งกือ 1. นําใบไม้ และขยะอินทรีย์ของแต่ละชุดการทดลอง มาใส่ในถังที่เตรียมไว้ 2. นําแผ่นพลาสติกมาคลุมไว้เพื่อป้องกันศัตรูทางธรรมชาติ 3. เมื่อครบ 1 สัปดาห์ นําขยะอินทรีย์ไปชั่งน้ําหนัก จดบันทึกไว้ และทําการเปลี่ยนขยะอินทรีย์ทุกๆสัปดาห์ เป็น เวลา 1 เดือน 4. เมื่อครบ 1 เดือน นําใบไม้ไปชั่งน้ําหนัก แล้วรวมกับข้อมูลที่จดบันทึกไว้ในข้อ 3 เพื่อนําไปคํานวณหาอัตราการกิน และนํากิ้งกือแดงไปชั่งน้ําหนัก เพื่อนําไปคํานวณความสามารถในการย่อยสลาย โดยปรับปรุงสูตรการคํานวณจาก Waldbauer (1968)  Consumption rate (CR) อัตราการกิน � น้ําหนักอาหารที่ถูกกิน ระยะเวลาของการทดลอง � วัน �  Approximate digestibility (AD) ความสามารถการย่อย = น้ําหนักสุทธิของกิ้งกือ น้ําหนักอาหารที่ถูกกิน × 100 ตอนที่ 2 ศึกษาองค์ประกอบธาตุอาหารของปุ๋ยมูลกิ้งกือที่ได้จากการย่อยสลายขยะอินทรีย์ 1. เมื่อทําการทดลองตอนที่1 ครบตามระยะเวลา 1 เดือน นํากิ้งกือ ใบไม้ และขยะอินทรีย์ที่เหลือออก แล้วนําปุ๋ย มูลกิ้งกือไปผึ่งในที่ร่มเป็นเวลา 1 วัน 2. นําปุ๋ยมูลกิ้งกือใส่ในถุงพลาสติกส่งไปยังสถานีพัฒนาที่ดิน จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจปริมาณธาตุอาหาร ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) การวิเคราะห์ทางสถิติ วิเคราะห์ความแตกต่างของอัตราการกิน ความสามารถในการย่อย และองค์ประกอบธาตุอาหารปุ๋ยมูลของกิ้งกือแดง ที่ได้จากการย่อยสลายขยะอินทรีย์ โดยวิธีวิเคราะห์ one –way ANOVA ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%โดยใช้โปรแกรม SPSS ผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษา พบว่า เมื่อให้อาหารสูตรควบคุม สูตรที่ 1 สูตรที่ 2 และ สูตรที่ 3 กิ้งกือมีอัตราการกินเฉลี่ยเท่ากับ 0.047 � 0.003 กรัม/วัน 0.865 � 0.013 กรัม/วัน 1.339 � 0.030 กรัม/วัน และ 2.021 � 0.030 กรัม/วัน ตามลําดับ กิ้งกือ มีอัตราการกิน ทุกสูตรอาหาร แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยกิ้งกือที่ได้รับอาหารสูตรที่ 3 มีอัตราการกิน สูงกว่าทุกสูตรอาหาร แสดงให้เห็นว่าอัตราการกินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณขยะอินทรีย์ เนื่องจากขยะอินทรีย์ เป็นขยะ ประเภทที่มีความชื้นสูง เพราะมีน้ําเป็นองค์ประกอบในปริมาณมาก สอดคล้องกับการที่กิ้งกือมีพฤติกรรมการเลือกกินอาหารที่ มีปริมาณน้ํามาก และชอบอาหารผสมมากกว่า อาหารที่เป็นเศษซากพืชชนิดเดียว (Kadamannaya and Sridhar, 2009) จากการศึกษา พบว่า เมื่อให้อาหารสูตรควบคุม สูตรที่ 1 สูตรที่ 2 และ สูตรที่ 3 กิ้งกือมีค่าความสามารถในการย่อย สลายเฉลี่ยเท่ากับ 1.46 � 0.63% 3.26 � 0.22% 3.33 � 0.75% และ 3.46 � 0.16% ตามลําดับ กิ้งกือที่ได้รับอาหารสูตรที่ 1 สูตรที่ 2 และ สูตรที่ 3 มีความสามารถในการย่อยสลาย สูงกว่า สูตรควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) เนื่องจาก น้ําหนักของกิ้งกือ แปรผันตามปริมาณของอาหาร โดยเมื่อเพิ่มปริมาณอาหาร น้ําหนักของกิ้งกือจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3