Proceeding2562
1542 การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 29 ประจ�ำปี 2562 วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค้ำน้ำ โรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคที่พบบ่อย จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบความชุกของโรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ใน พ.ศ. 2557 เท่ากับ 9.2 ส่วนการศึกษาในประเทศไทยนั้นพบร้อยละ 1.5 ในปี พ.ศ. 2550 23 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.6 ในพ.ศ. 2555 19 ซึ่งจะเห็นได้ว่าอุบัติการณ์หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ขณะตั้งครรภ์ฮอร์โมนจากรก เป็นปัจจัยส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงเป็นเบาหวานได้สูงขึ้น 2 ส่งผลให้ เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งต่อหญิงตั้งครรภ์ เช่น เกิดความดันโลหิตสูง 25 ตกเลือดหลังคลอด 3 เกิดการคลอดยากได้ร้อยละ ๓ 16 และ ผลกระทบต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด เช่น ทารกในครรภ์ขาดอาหารและออกซิเจน ทารกตัวโต เสี่ยงต่อการได้รับอันตราย ระหว่างคลอดได้ ทารกพิการแต่ก้าเนิด และความผิดปกติของระบบประสาทไขสันหลัง ภาวะหายใจล้าบาก และภาวะน้้าตาลในเลือด ต่้าหลังคลอด 2 หากน้้าตาลต่้ามากๆในระยะเวลานานสมองจะถูกท้าลาย 11 ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถป้องกันได้ โดยการ ควบคุมระดับน้้าตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ มาตรฐานในการดูแลและรักษาภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ การควบคุมอาหาร การออกก้าลังกายและการใช้ อินซูลิน 13 ซึ่งพฤติกรรมการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่ส้าคัญส้าหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน โดยต้องควบคุมปริมาณ คาร์โบไฮเดรตในอาหารแต่ละมื้อ 7 ส่วนการออกก้าลังกายมีผลท้าให้กล้ามเนื้อสามารถน้ากลูโคสไปใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้นและท้าให้ อินซูลินท้างานได้ดีขึ้น ลดภาวะดื้ออินซูลินและการออกก้าลังกายอย่างสม่้าเสมอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้้าตาลใน เลือดได้ดีกว่าการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว 1-11 หากหญิงตั้งครรภ์มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารและพฤติกรรมการออกก้าลัง กายที่เหมาะสมจะส่งผลให้สามารถควบคุมระดับน้้าตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า หญิง ตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน ไม่สามารถควบคุเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ 14 เนื่องจากยังขาดความรู้ 24 เชื่อว่าการออกก้าลังกายเป็นอันตราย ต่อทารกในครรภ์ 17 ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมระดับน้้าตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า แนวทางในการส่งเสริมพฤติกรรมมีหลากหลายวิธีที่สามารถน้ามา ประยุกต์ใช้กับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานได้ เช่น การส่งเสริมการดูแลตนเอง 4 การเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม 6 การส่งเสริมการรับรู้ สมรรถนะแห่งตน 5-7-9-10-12 จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างหญิงตั้งครรภ์ พบว่าการรับรู้สมรรถนะแห่งตน เป็นปัจจัยส้าคัญในการ ท้านายพฤติกรรมการออกก้าลังกาย 21 และพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพด้านโภชนาการของหญิงตั้งครรภ์ 8 จากการศึกษา พบว่า โปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกก้าลังกาย เหมาะสมมากขึ้น 10 จะเห็นได้ว่าการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนมีผลให้หญิงตั้งครรภ์สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนเป็นปัจจัยส้าคัญน้าไปสู่การปฏิบัติพฤติกรรมของบุคคล การกระท้าของบุคคล สามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ขึ้นอยู่กับการรับรู้สมรรถนะของตนเองในสถานการณ์นั้นๆ 15 ซึ่งการรับรู้สมรรถนะแห่งตนนั้นพบ มีการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวให้เหมาะสมได้ อีกทั้งยังมี การศึกษาของฮินตันและโอลสัน 18 พบว่าควรมีการออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการรับรู้สรรถนะแห่งตนในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้หญิง ตั้งครรภ์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม ผู้วิจัยจึงได้น้าทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของเบนดูรา 15 มาประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อระดับน้้าตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน วิธีด้ำเนินกำร ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน กลุ่มตัวอย่ำง เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานที่มาฝากครรภ์ ณ แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลศูนย์ โดยก้าหนดคุณสมบัติของ กลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 1. ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิดเอ วัน 2. ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง ภาวะครรภ์แฝด ภาวะซีด โรคหัวใจ เป็นต้น
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3