Proceeding2562
1546 การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 29 ประจ�ำปี 2562 วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตนสูงกว่าหลังได้รับโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ ( p >.001) 2) หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานกลุ่มควบคุมมี ค่าเฉลี่ยระดับน้้าตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารและระดับน้้าตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมงสูงกว่ากลุ่มทดลองหลัง ได้รับโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ ( p >.001) สมารถอธิบายเหตุผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกก้าลังกาย ซึ่งโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนท้าให้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็น เบาหวานมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกก้าลังกายดีขึ้น 10 ส่งผลต่อระดับน้้าตาลในเลือด 7 และการออกก้าลังกายอย่างสม่้าเสมอช่วย เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้้าตาลในเลือดได้ดี 1-11 โดยโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนเป็นการน้าแหล่งสนับสนุนทั้ง 4 แหล่งของ แบนดูรา 15 มาประยุกต์ใช้กับการทบทวนวรรณกรรม เพื่อส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์เป็นเบาหวานมีพฤติกรรมที่เหมาะสม โดยการจัดกิจกรรมแบบ รายกลุ่ม เปิดโอกาสให้กลุ่มตัวอย่างได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดูแลตนเอง การรับประทานอาหาร การออกก้าลังกาย ปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น มีการประเมินความเชื่อและปรับความเชื่อด้านสุขภาพให้ถูกต้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมการ รับประทานอาหารและการออกก้าลังกาย 22 ท้าให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงกับกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็น เบาหวานมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกก้าลังกายที่เหมาะสม จึงส่งผลให้มีระดับน้้าตาลในเลือดลดลง 2. การให้ความรู้อย่างเฉพาะเจาะจง จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าสาเหตุที่ท้าให้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานไม่สามารถ ควบคุมระดับน้้าตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ คือ หญิงตั้งครรภ์มีความเชื่อว่าการออกก้าลังกายขณะตั้งครรภ์ไม่ปลอดภัย 17 และกลัว อันตรายที่จะเกิดต่อทารกในครรภ์มาก 11 ขาดความรู้เกี่ยวกับผลกระทบ การปฏิบัติตัวที่เหมาะสม 24 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่า กลุ่มตัวอย่างยังมีความเชื่อว่าการออกก้าลังกายจะส่งผลให้ทารกในครรภ์ได้รับอันตราย ท้าให้แท้ง ควรรับประทานอาหารมาก ๆ เพราะทารกที่คลอดออกมาตัวโตเป็นเด็กสุขภาพดี โดยผู้วิจัยได้มีการปรับความเชื่อที่ผิด โดยการให้ความรู้ที่ถูกต้องตรงกับปัญหาของหญิง ตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน และกลุ่มทดลองอยู่ในช่วง 23 – 45 ปี อายุเฉลี่ย 34.32 ปี (SD = 5.79) ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พร้อมกับการเรียนรู้ มี พฤติกรรมและอารมณ์ที่มั่นคง มีการยอมรับตนเองและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญา ท้าให้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานสามารถ ปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสมส่งผลให้ระดับน้้าตาลในเลือดลดลง กิตติกรรมประกำศ วิจัยเรื่องนี้ส้าเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจากนพ.สุกิจ มหัธนันท์ คุณนิจ์สากร นังคลา และคุณ มลิวัลย์ บุตรด้า ผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจสอบเครื่องมือในการท้าวิจัย พร้อมข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ ผู้อ้านวยการ หัวหน้าฝ่ายการ พยาบาล บุคลากรประจ้าแผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ที่อ้านวยความสะดวกในการด้าเนินการวิจัย ท้ายที่สุด ขอขอบพระคุณผู้อ้านวยการวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครศรีธรรมราช ที่ให้การสนับสนุนจนการวิจัยครั้งนี้ส้าเร็จด้วยดี เอกสำรอ้ำงอิง [1] กาญจนาศรีสวัสดิ์, และอรพินท์ สีขาว. (2557). “การดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์”. วำรสำรพยำบำลทหำรบก. 15(2), 50-59. [2] มณีภรณ์ โสมานุสรณ์. (2555). “การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน”. ใน ศรีเกียรติ อนันต์สวัสดี (บรรณาธิการ). กำร พยำบำลสูติศำสตร์เล่ม 3 (พิมพ์ครั้งที่ 12, หน้า 60-91). นนทบุรี: ยุทธรินทร์. [3] มาลีวัล เลิศสาครศิริ. (2554). กำรพยำบำลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภำวะแทรกซ้อน. (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพมหานคร:อัสสัมชัญ. [4] ยุคลธร เธียรวรรณ, มยุรี นิรัตธราดร, และชดช้อย วัฒนะ. (2555). “ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรม การดูแลตนเองและระดับน้้าตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน”. พยำบำลสำร , 39(2), 132-143. [5] ศิรินาทชาบุญเรือง, และประนอมรอดค้าดี. (2557). “ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนโดยกลุ่มเพื่อนต่อพฤติกรรมการบริโภค อาหารและการออกก้าลังกายของวัยรุ่นตอนต้นที่มีภาวะโภชนาการเกิน”. วำรสำรกำรพยำบำลและกำรดูแลสุขภำพ , 32(3), 119-126. [6] สร้อย อนุสรร์ธีรกุล, และพัชรี จันทอง. (2557). “โปรแกรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อพฤติกรรมการควบคุมอาหารของหญิงตั้งครรภ์ เป็นเบาหวาน”. วำรสำรพยำบำลศำสตร์และสุขภำพ , 37(1), 51-39. [7] สุนันทา ยังวนิชเศรษฐ. (2559). กำรพยำบำลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นเบำหวำน . กรุงเทพ: สหมิตรพัฒนา
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3