Proceeding2562
386 การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 29 ประจ�ำปี 2562 วิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของศราวุธ สุวรรณวรบุญ ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง จานวนเชิงซ้อน ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 76.90/72.11 สูงกว่าเกณฑ์ที่กาหนด [13] 2. จากการวิจัยพบว่านักเรียนที่ได้เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหา มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.71 ซึ่งมีความก้าวหน้าทางการ เรียนในระดับสูง (E.I. > 0.7) หมายความว่า กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ตามแนวคิดทฤษฎีคอน สตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหา มีความเป็นไปได้ที่ทาให้ผลการเรียนของนักเรียนมีความเปลี่ยนแปลงไปใน ระดับสูง เมื่อพิจารณาความรู้เดิมของนักเรียนในเรื่อง สมการและการแก้สมการ จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียน ทั้งนี้เพราะกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ตามแนวคิดทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหา นั้นให้นักเรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยเชื่อมโยงจากความรู้ที่เรียน มาก่อนหน้าหรือประสบการณ์เดิม นักเรียนร่วมกันทางานและอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ร่วมกันปรับแนวคิด กระบวนการแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงสรุปวิธีการที่หลากหลายหรือไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์และชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งครูเป็น เพียงผู้อานวยความสะดวก คอยกระตุ้นผู้เรียนให้คิด เป็นที่ปรึกษาคอยแนะนาเพื่อส่งเสริมการเ รียนรู้ เสริมวิธีการ กระบวนการหรือความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียน และคอยกระตุ้นให้นักเรียนได้องค์ความรู้หรือข้อสรุปที่สมบูรณ์และ ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของชาญณรงค์ วิเศษสัตย์ ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่อง การหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เหลี่ยม โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า มีดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 0.84 (ความก้าวหน้า ทางการเรียนในระดับสูง) [12] และสอดคล้องกับงานวิจัยของพรทิพย์ วงศานาถ ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้การสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ค่า ดัชนีประสิทธิผลของการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.6545 (ความก้าวหน้าทางการเรียนในระดับปานกลาง) [10] 3. จากการวิจัยพบว่านักเรียนที่ได้เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหา มีทักษะการแก้โจทย์ปัญหาของอยู่ในระดับดี ทั้งนี้เพราะ กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ที่ส่งเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ทั้งนี้เพราะตลอดกระบวนการในกิจกรรมการเรียนรู้นั้นนักเรียนได้มีการแก้โจทย์ปัญหาต่าง ๆ ที่หลากหลายทั้งเป็น รายบุคคล กลุ่มย่อย และทั้งชั้นเรียน ทั้งการสารวจปัญหาหรือวิเคราะห์ปัญหา วิธีการในการแก้ปัญหา ตลอดจนสรุปวิธีและ ผล ซึ่งการอภิปรายแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันทั้งภายในกลุ่มย่อยและทั้งชั้นเรียน ตลอดจนการนาเสนอหน้าชั้นเรียน จะทา ให้เกิดความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันทั้งสาระความรู้และทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของแต่ละกลุ่มและแต่ละคน เข้าด้วยกันจนได้กระบวนการในการแก้โจทย์ปัญหาที่ถูกต้อง สมบูรณ์เหมือนกัน ทาให้นักเรียนเข้าใจถึงกระบวนการในการ แก้โจทย์ปัญหาแต่ละข้อชัดเจนถูกต้อง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการแก้โจทย์ปัญหาต่อไปได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของวราภรณ์ เขตโสภา ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เน้นกระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 ที่มีต่อเจต คติการเรียน ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอน สตรัคติวิสต์เน้นกระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 [2] และสอดคล้องกับงานวิจัยพรทิพย์ วงศานาถ ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โ ดยใช้ การสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ พบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สูงกว่าเกณฑ์ปกติของโรงเรียนที่กาหนดไว้ร้อยละ 65 ของคะแนนเต็มอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 [10]
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3