งานประชุมวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร

งานประชุมวิชาการ “เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร” ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 – 2 สิงหาคม 2567 ณ ทักษิณาคาร มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง JTAI 2024: The 1 st Conference of Technology and Agricultural Innovation between 1 – 2 August 2024 At Thaksinakhan Thaksin University 64 ในขณะกรรมวิธีที่ได้รับปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานส่งผลให้ดินมีฤทธิ์เป็นกรดจัดมาก (pH 4.7) เมื่อพิจารณาอินทรียวัตถุในดิน พบว่า กรรมวิธีที่มีการใส่ปุ๋ยช่วยเพิ่ม/รักษาปริมาณอินทรียวัตถุให้ ใกล้เคียงกับค่าเริ่มต้น ในขณะที่กรรมวิธีที่ไม่ใส่ปุ๋ย มีอินทรียวัตถุในดินเพียง 0.35 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ กรรมวิธีที่มีการใส่ปุ๋ย มีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินและโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินสูงกว่า กรรมวิธีที่ไม่มีการใส่ปุ๋ยอย่างเห็นได้ชัด (ตารางที่ 1) ผลของระบบปลูกพืชและการจัดการปุ๋ยต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลูกมันสาปะหลังระยะยาว ผลของระบบปลูกและการจัดการปุ๋ยต่อความสูงของมันสาปะหลังพันธุ์ระยอง 86-13 ที่อายุ 3, 6, 9 และ 12 เดือนหลังปลูก โดยภาพรวมพบว่า ระบบปลูกมันสาปะหลังไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตทางด้านความ สูง แต่การจัดการปุ๋ยส่งผลให้ความสูงมันสาปะหลังแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกรรมวิธีที่มีการใส่ปุ๋ยให้ความ สูงต้นสูงกว่ากรรมวิธีที่ไม่ใส่ปุ๋ยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมันสาปะหลังที่ได้รับปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ (ตารางที่ 2) ผลของการจัดการปุ๋ยและระบบปลูกต่อน้าหนักหัวสด พบปฏิสัมพันธ์ร่วมระหว่างระบบปลูกมัน สาปะหลังและการจัดการปุ๋ย โดยปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ ในระบบปลูกมันสาปะหลัง ต่อเนื่องทุกปี และระบบปลูกมันสาปะหลังแซมด้วยพืชตระกูลถั่วทุกปี ให้น้าหนักหัวสดสูงสุด คือ 6.43 และ 5.69 ตันต่อไร่ ตามลาดับ ในขณะที่ระบบปลูกมันสาปะหลังหมุนเวียนกับพืชตระกูลถั่ว กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 1 ตันต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ให้น้าหนักหัวสดสูงสุด คือ 7.24 ตัน ต่อไร่ และในขณะที่ มันสาปะหลังที่ไม่ได้รับปุ๋ย ให้น้าหนักหัวสดต่าที่สุดพบทั้งสามระบบปลูก นอกจากนี้ยัง พบว่า ระบบปลูก มันสาปะหลังและการจัดการปุ๋ย ไม่มีผลทาให้เปอร์เซ็นต์แป้งแตกต่างกัน ซึ่งเปอร์เซ็นต์แป้ง อยู่ระหว่าง 20.6-23.5 % (ตารางที่ 3) ระบบปลูกมันสาปะหลังแซมด้วยพืชตระกูลถั่ว ให้รายได้สุทธิสูงกว่าระบบปลูกอื่น ๆ โดยให้รายได้ สุทธิสูงถึง 11,004 บาทต่อไร่ โดยพบในกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ รองลงมาคือ ระบบปลูกมันสาปะหลังหมุนเวียนพืชตระกูลถั่วปีเว้นปี ที่ได้รับปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 1 ตันต่อไร่ ร่วมกับการใส่ปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ให้รายได้สุทธิ 10,747 บาทต่อไร่ สูงกว่ากรรมอื่น ส่วนในระบบปลูกมันสาปะหลังต่อเนื่องทุกปี พบว่า การใส่ปุ๋ยปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ ให้รายได้สุทธิ (9,942 บาทต่อไร่) สูงกว่ากรรมวิธีอื่น (ตารางที่ 4) สรุปผล (Conclusion) การปลูกมันสาปะหลังต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี ในชุดดินยโสธรที่มีเนื้อดินทรายเป็นองค์ประกอบหลัก ทาให้มีความสามารถต่าทั้งในการดูดซับธาตุอาหารและน้า การปลูกมันสาปะหลังติดต่อกันยาวนาน โดยปราศจากการปรับปรุงบารุงดิน ทาให้ดินเสื่อมโทรมลงทุกปี (โชติ สิทธิบุศย์ และคณะ, 2533) เนื่องจาก สูญเสียธาตุอาหารไปกับผลผลิตมันสาปะหลัง ได้แก่ หัว และลาต้น ปริมาณธาตุอาหารในดินลดลงเรื่อย ๆ นอกจากนี้ธาตุอาหารในพื้นที่สามารถ สูญหายโดยการชะล้างหรือชะละลายไปกับน้า โดยเฉพาะในดินทราย ดินร่วนปนทราย ส่งผลให้ศักยภาพ ในการผลิตพืชลดลง ดังนั้น ควรจัดการระบบปลูกและการจัดการปุ๋ยให้ เหมาะสมเพื่อรักษาศักยภาพดินในการผลิตอย่างยั่งยืนต่อไป โดยระบบปลูกมันสาปะห ลังต่อเนื่องทุกปี

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3