วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1
Use of Bio-products and Biomass on Okra Production in Good Agricultural Practices on Clay … บทนำ กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชส่งออกสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของไทย สถิติการส่งออกกระเจี๊ยบเขียวฝักสดหรือแช่เย็น ในปี 2566 มีมูลค่าถึง 209 ล้านบาท และกระเจี๊ยบเขียวแช่แข็ง มูลค่า 113 ล้านบาท (สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์, 2566) เนื่องจากต่างประเทศนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย เช่น ประเทศญี่ปุ่นมีการนำเข้ากระเจี๊ยบเขียวจากไทยมูลค่าสูงถึง 290 ล้านบาท เป็นกระเจี๊ยบเขียวฝักสดหรือแช่เย็นมูลค่า 171 ล้านบาท และกระเจี๊ยบเขียวแช่แข็งมูลค่า 112 ล้านบาท (สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์, 2566) โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกระเจี๊ยบเขียว จำนวน 4,061 ไร่ ผลผลิต จำนวน 5,377 ตัน มีปริมาณผลผลิตเฉลี่ย 1,347 กิโลกรัมต่อไร่ แหล่งปลูกกระเจี๊ยบเขียวที่สำคัญส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ ภาคกลาง คือ จังหวัดสุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2566) ขณะที่ เกษตรกรผู้ปลูกกระเจี๊ยบเขียวที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP มีจำนวน 742 ราย 749 แปลง รวมพื้นที่ทั้งหมด 1,474.66 ไร่ คิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ปลูกกระเจี๊ยบเขียวทั้งหมด (กรมวิชาการเกษตร, 2567) กระเจี๊ยบเขียวสามารถ ปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ควรปลูกในพื้นที่ราบ ดินระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขัง เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขัง ค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) 6.5-7.5 ปริมาณอินทรีย ที่วัตถุเหมาะสมคือ 1-3 เปอร์เซ็นต์่ ซึ่งดินที่ใช้ปลูกกระเจี๊ยบเขียวไประยะหนึ่งจะสูญเสียธาตุอาหารไปกับผลผลิตที่เก็บเกี่ยว ไปในแต่ละปี จึงทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงตามไปด้วย (กรมส่งเสริมการเกษตร, 2551) แนวทางในการทำการเกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับการผลิตกระเจี๊ยบเขียวให้ได้ผลผลิตสูงและผลผลิตมีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของตลาด จำเป็นต้องมีการจัดการปุ๋ยที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยการใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยชีวภาพเพื่อให้พืชได้รับธาตุอาหารตรงตามความต้องการสำหรับใช้ในการเจริญเติบโตและ ให้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการจัดการธาตุอาหารพืชสำหรับการผลิตกระเจี๊ยบเขียวตาม GAP ที่ปลูกในดินเหนียว-ร่วนเหนียว จังหวัดสุพรรณบุรี วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีดำเนินการ 1. การวางแผนการทดลอง วางแผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์ (randomized complete block design, RCBD) จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วย 7 กรรมวิธี ดังนี้ 1) กรรมวิธีควบคุม (control) 2) ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่ (RDF) 3) ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ (RDF+CM) 4) ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+ อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น (RDF+CM+PSB+AMF) 5) ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ (75% of RDF+CM) 6) ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น (75% of RDF+CM+PSB+AMF) และ 7) ใส่มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น (CM+PSB+AMF) 2. วิธีปฏิบัติในแปลงทดลอง โดยดำเนินการทดลองในแปลงเกษตรกรผู้ปลูกกระเจี๊ยบเขียว GAP ในตำบลสระยายโสม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี พิกัดแปลง 47P 0595056N 1576786E จากนั้นไถเตรียมดินและแบ่งแปลงย่อยขนาด 6x6 เมตร ใส่มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ตามกรรมวิธี สับกลบลงดินทิ้งไว้อย่างน้อย 1 เดือน ปลูกกระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ลูกผสม HVOK 068 ระยะปลูก 50x100 เซนติเมตร โดยหยอดเมล็ด 3 เมล็ดต่อหลุม พร้อมใส่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต และราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซารองก้นหลุมอัตรา 3 กรัมต่อต้นตามกรรมวิธี ถอนแยกกระเจี๊ยบเขียวให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุม
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3