วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1
Use of Bio-products and Biomass on Okra Production in Good Agricultural Practices on Clay … ผลการวิจัยและอภิปรายผล 1. สมบัติของดินที่ใช้ในการทดลอง จากผลวิเคราะห์สมบัติดินก่อนปลูกที่ระดับความลึก 0-20 เซนติเมตร เนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว มีค่าความกรด-ด่าง ของดินเป็นด่างเล็กน้อย (pH เท่ากับ 7.61) ค่าการนำไฟฟ้าของดินเท่ากับ 0.53 เดซิซีเมนส์ต่อเมตร ปริมาณอินทรียวัตถุ จัดอยู่ในระดับปานกลาง (1.54 เปอร์เซ็นต์) ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์จัดอยู่ในระดับปานกลาง (35.10 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม) ในขณะที่ปริมาณโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้อยู่ในระดับสูง (138.65 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) เมื่อพิจารณา ความต้องการธาตุอาหารพืชจากค่าวิเคราะห์ดินสำหรับกระเจี๊ยบเขียว พบว่า กระเจี๊ยบเขียวมีความต้องการปุ๋ยเท่ากับ 18-4-6 กก. N-P 2 O 5 -K 2 Oต่อไร่ (ตารางที่ 1) จากรายงานของกรมส่งเสริมการเกษตร (2551) พบว่า ค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกระเจี๊ยบเขียว มีค่าเท่ากับ 6.5-7.5 ปริมาณอินทรียที่วัตถุเหมาะสมคือ 1-3 เปอร์เซ็นต์่ และกระเจี๊ยบเขียวต้องการไนโตรเจน 38.4 กิโลกรัมต่อไร่ ฟอสฟอรัส 27.5 กิโลกรัมต่อไร่ และโพแทสเซียม 46 กิโลกรัมต่อไร่ 2. สมบัติของชีวมวลที่ใช้ในการทดลอง จากผลวิเคราะห์มูลวัว พบว่า มูลวัวมีค่าความชื้น 13.37 เปอร์เซ็นต์ มีค่า pH เท่ากับ 8.9 ค่าการนำไฟฟ้า เท่ากับ 8.39 เดซิซีเมนส์ต่อเมตร ปริมาณอินทรียวัตถุ เท่ากับ 58.07 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม ทั้งหมด เท่ากับ 1.38 1.42 และ 4.57 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และค่าสัดส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N ratio) เท่ากับ 24.40 จะเห็นว่ามูลวัวมีค่า C/N ratio มากกว่า 20 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร (ประกาศกรมวิชาการเกษตร, 2555) ทั้งนี้การนำมูลวัวที่มีค่า C/N ratio มากกว่า 20 ไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ควรมีการหมัก ให้ย่อยสลายก่อนนำไปใช้เพื่อป้องกันการเกิดกระบวนการดูดซึมไนโตรเจนในรูปอนินทรีย์จากจุลินทรีย์ดิน (immobilization) ซึ่งอาจส่งผลให้พืชขาดไนโตรเจนในช่วงแรกของการใส่ปุ๋ยได้ (ทิพวรรณ และคณะ, 2567) (ตารางที่ 2) หมายเหตุ : Moisture (%) base on fresh weight 3. การเจริญเติบโตและผลผลิตของกระเจี๊ยบเขียว 3.1 ความสูงต้นกระเจี๊ยบเขียว จากการทดลอง พบว่า ต้นกระเจี๊ยบเขียวทุกกรรมวิธีมีความสูงไม่แตกต่างกันทางสถิติ ที่อายุ 15 และ 30 วัน หลังปลูก ในขณะที่ต้นกระเจี๊ยบเขียวที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น ที่อายุ 45 และ 60 วันหลังปลูก มีความสูงต้นกระเจี๊ยบเขียวสูงที่สุด เท่ากับ 63.65 และ 104.23 เซนติเมตร ตามลำดับ ซึ่งผลการทดลองมีความแตกต่างกัน ทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีควบคุม (ตารางที่ 3) Moisture (%) pH (1:1) EC (1:10) (dS/m) OM (%) Total N (%) Total P 2 O 5 (%) Total K 2 O (%) C/N ratio 13.37 8.9 8.39 58.07 1.38 1.42 4.57 24.40 ตารางที่ 2 สมบัติทางเคมีและปริมาณธาตุอาหารของชีวมวล (มูลวัว)
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3