วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1

Use of Bio-products and Biomass on Okra Production in Good Agricultural Practices on Clay … ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ และกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่ ให้จำนวนฝักทั้งหมดต่อไร่ เท่ากับ 112,400 102,900 101,425 และ 98,275 ฝัก ตามลำดับ ในขณะที่กรรมวิธีควบคุมให้จำนวนฝักทั้งหมดต่อไร่ต่ำที่สุด เท่ากับ 73,450 ฝัก และไม่แตกต่างกับกรรมวิธีที่ใส่มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา อัตรา 3 กรัมต่อต้น (ตารางที่ 4) จำนวนฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่ของกระเจี๊ยบเขียว เก็บเกี่ยวที่อายุ 45-80 วันหลังปลูก พบว่า กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+ อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น ให้จำนวนฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่สูงที่สุด เท่ากับ 105,150 ฝัก รองลงมา คือ กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ และกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่ ให้จำนวนฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่ เท่ากับ 104,800 95,475 93,150 และ 85,400 ฝัก ตามลำดับ ในขณะที่กรรมวิธีควบคุมให้จำนวนฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่ต่ำที่สุด เท่ากับ 66,300 ฝัก และไม่แตกต่างกับกรรมวิธีที่ใส่มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+ อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น (ตารางที่ 4) น้ำหนักฝักทั้งหมดต่อไร่ของกระเจี๊ยบเขียว เก็บเกี่ยวที่อายุ 45-80 วันหลังปลูก พบว่า กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+ อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น ให้น้ำหนักฝักทั้งหมดต่อไร่สูงที่สุด เท่ากับ 1,303.75 กิโลกรัม รองลงมาคือ กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ และกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่ ให้น้ำหนักฝักทั้งหมดต่อไร่ เท่ากับ 1,103.75 1,088.50 1,049.50 และ 1,037.75 กิโลกรัม ตามลำดับ ในขณะที่กรรมวิธีควบคุมให้น้ำหนักฝักทั้งหมดต่อไร่ต่ำที่สุด เท่ากับ 738.00 กิโลกรัม และไม่แตกต่างกับกรรมวิธีที่ใส่มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น (ตารางที่ 4) น้ำหนักฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่ของกระเจี๊ยบเขียว เก็บเกี่ยวที่อายุ 45-80 วันหลังปลูก พบว่า กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น ให้น้ำหนักฝักที่ผ่านเกฑณ์ต่อไร่สูงที่สุด เท่ากับ 1,149.25 กิโลกรัม รองลงมา คือ กรรมวิธีที่ ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น +อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 13.5-3-4.5 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อต้น กรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ต่อไร่+มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่ และกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยเคมี อัตรา 18-4-6 กิโลกรัม N-P 2 O 5 -K 2 O ให้จำนวนฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่ เท่ากับ 1,032.50 995.25 960.75 และ 897.00 กิโลกรัม ตามลำดับ ในขณะที่กรรมวิธีควบคุมให้น้ำหนักฝักที่ผ่านเกณฑ์ต่อไร่ต่ำที่สุด เท่ากับ 656.25 กิโลกรัม และไม่แตกต่างกับ กรรมวิธีที่ใส่มูลวัวอัตรา 1 ตันต่อไร่+จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตอัตรา 3 กรัมต่อต้น+อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอัตรา 3 กรัมต่อต้น (ตารางที่ 4) การปลูกกระเจี๊ยบเขียวใช้ระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ยาวนาน การใส่ปุ๋ยจึงต้องเพียงพอต่อ ความต้องการ จะเห็นว่าการใส่ปุ๋ยเคมีที่มีปริมาณธาตุไนโตรเจนสูง สามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตของกระเจี๊ยบเขียวได้ เนื่องจากไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน คลอโรฟิลล์ กรดนิวคลีอิก และเอนไซม์ในพืช ช่วยส่งเสริม การเจริญเติบโตของยอดอ่อน ใบ และกิ่งก้าน (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2541) การได้รับไนโตรเจนเพียงพอ จะทำให้กระเจี๊ยบเขียวมีการเจริญเติบโตที่ดีใบมีสีเขียว ออกดอกมากขึ้น และให้ศักยภาพผลผลิตที่สูงขึ้น ต้นกระเจี๊ยบเขียว ที่ขาดไนโตรเจนจะมีใบสีเหลืองอ่อน การเจริญเติบโตแคระแกรนและผลผลิตที่ได้ลดลง ทั้งนี้ปริมาณไนโตรเจนในพืช

RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3