วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1
Efficiency of Various Ornamental Aquatic Plants for Frog Farming Effluent Treatment คำนำ กบเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีปริมาณการผลิตในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากผลผลิตจาก ธรรมชาติลดน้อยลงและความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้น (เหล็กไหล จันทะบุตร และคณะ, 2564) การเลี้ยงกบใน ภาคใต้เป็นระบบการเลี้ยงแบบพัฒนาในบ่อคอนกรีต เลี้ยงกบด้วยความหนาแน่นสูง ใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป โดยมีการ เปลี่ยนถ่ายน้ำหมดทั้งบ่อวันละ 2 ครั้ง โดยมุ่งเลี้ยงกบเนื้อที่มีขนาดใหญ่สำหรับส่งออกไปยังประเทศมาเลเซีย ระบบการเลี้ยงดังกล่าวก่อให้เกิดของเสียสะสมในน้ำที่ระบายทิ้งในปริมาณมาก ซึ่งเกิดขึ้นจากการย่อยสลายอาหารที่กบ ได้รับ ทั้งของเสียไนโตรเจน และฟอสฟอรัส โดยสารประกอบไนโตรเจนที่พบในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำจะพบมากรูปแอมโมเนีย ไนไตรท์ และไนเตรท โดยเฉพาะปริมาณแอมโมเนียในน้ำทิ้งจากฟาร์มเลี้ยงกบซึ่งมีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐานและจำเป็นต้อง กำจัดก่อนปล่อยออกจากฟาร์ม (สุรเสน ศรีริกานนท์, 2552; สุภาวดี โกยดุลย์, 2557) ระบบบำบัดน้ำเสียแบบพืชบำบัดเป็นระบบบำบัดน้ำเสียที่อาศัยกระบวนการทางธรรมชาติซึ่งกำลังเป็นที่นิยม มากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้ว แต่ต้องการลดปริมาณ ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสก่อนระบายออกสู่แหล่งรองรับน้ำทิ้ง (กรมควบคุมมลพิษ, 2561) ทั้งนี้ได้มีผลการศึกษาว่า พืชหลายชนิดสามารถบำบัดน้ำเสียได้ดี เช่น แหนเป็ดมีประสิทธิภาพในการบําบัดแอมโมเนีย ไนเตรท และฟอสเฟตรวมใน น้ำเสียจากการเลี้ยงปลาตะเพียนทอง ได้มากถึง 50-70% (มณีรัตน์ หวังวิบูลย์ และคณะ, 2553) สาหร่ายหางกระรอก สามารถกำจัดฟอสเฟตจากน้ำทิ้งจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ได้ถึง 86 % (กิตติมา วานิชกูล และคณะ, 2558) นอกจากนี้ยังพบว่าหญ้าแฝก และกกรังกามีประสิทธิภาพการบำบัดแอมโมเนียจากการเลี้ยงปลาดุก 67 % ผักตบชวา มีประสิทธิภาพในการบำบัดฟอสฟอรัส 90 % (Raharjo et al., 2018) กกรังกาบำบัดแอมโมเนียจากน้ำที่เลี้ยงปลาดุกได้ 89 % (วิภาดา วงค์เรือนแก้ว และโสมนัส สมประเสริฐ, 2559) และพบว่าบ่อเลี้ยงปลานิลที่มีผักตบชวาจะมีค่าไนโตรเจนรวม และออร์โธฟอสฟอรัสต่ำกว่าบ่อที่ไม่มีพืช (Osti et al, 2020) ปัจจุบันมีการพัฒนาและขยายการปลูกและขยายพันธุ์พรรณไม้น้ำสวยงามสำหรับใช้ในการเลี้ยงปลาสวยงาม มากขึ้นในอุตสาหกรรมสินค้าส่งออกของไทย พรรณไม้น้ำสวยงามส่วนใหญ่ คือพืชชั้นสูงที่เติบโตในน้ำ ซึ่งพบว่าสามารถ ดูดซับธาตุอาหารจากน้ำได้ดี เช่นเดียวกับพืชอื่นๆ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะประยุกต์ใช้เป็นพืชบำบัดน้ำเสียในระบบ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำซึ่งจะช่วยให้สามารถลดปริมาณของเสียในน้ำ และยังเป็นการผลิตพันธุ์ไม้น้ำสวยงามในเชิง อุตสาหกรรมได้ด้วย ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะทดสอบประสิทธิภาพของสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายคาบอมบา สันตะวาใบข้าว และสาหร่ายดาวกระจายในการบำบัดน้ำเสียจากฟาร์มกบ อุปกรณ์และวิธีการ วัสดุที่ใช้ในการทดลอง เก็บตัวอย่างน้ำทิ้งจากบ่อเลี้ยงกบจากฟาร์มกบเอกชนในตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ซึ่งเลี้ยง กบลูกผสมอายุประมาณ 90 วัน ในบ่อคอนกรีตขนาด 20 ตารางเมตร ความหนาแน่นประมาณ 100-150 ตัวต่อตารางเมตร โดยใช้อาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงกบที่มีโปรตีน 38% ทำการเก็บตัวอย่างน้ำทิ้งบริเวณจุดปลายท่อระบายน้ำทิ้งของ บ่อเลี้ยงก่อนปล่อยน้ำทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ มาทำการเจือจางจนมีความเข้มข้น 40% ด้วยน้ำประปาที่พักจนปราศจาก คลอรีนแล้ว ในอัตราส่วนน้ำประปา 60 ลิตร ต่อน้ำทิ้งจากฟาร์มกบ 40 ลิตร โดยใช้น้ำทิ้งที่เจือจางแล้วในการทดลองจำนวน 10 ลิตรต่อหน่วยทดลอง การออกแบบระบบบำบัด การออกแบบระบบการทดลอง ใช้ถังพลาสติกโปร่งแสงที่มีขนาดปริมาตร 10 ลิตร (ภาชนะทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 เซนติเมตร ความลึกน้ำ 11 เซนติเมตร) จำนวน 15 ใบ โดยแต่ละถังปลูกพรรณไม้น้ำสวยงามแต่ละชนิด ได้แก่ สาหร่ายหางกระรอก ( Hydrilla verticillata ) สาหร่ายคาบอมบา ( Cabomba caroliniana ) สันตะวาใบข้าว ( Blyxa echinosperma ) และสาหร่ายดาวกระจาย ( Hygrophila difformis ) โดยพรรณไม้แต่ละกอปลูกในกระถางพลาสติกโดยมี น้ำหนักสดกอละ 50 กรัม เพื่อให้มีความหนาแน่นของพรรณไม้น้ำสวยงามในการทดลอง 450-900 กรัมน้ำหนักสดต่อตารางเมตร
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3