วารสารเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1
ประสิทธิภาพของพรรณไม้น้ำสวยงามต่อการบำบัดน้ำทิ้งจากฟาร์มกบ (Nakphet et al., 2017; Handajani et al., 2021) ปลูกพืชโดยใช้กระถางพลาสติกและกรวดหยาบเป็นวัสดุปลูก จัดเตรียมพืชให้ปรับตัวกับระบบการทดลองโดยแช่พืชในน้ำประปาที่พักจนปราศจากคลอรีนแล้วเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนการทดลอง ส่วนชุดควบคุมเป็นถังพลาสติกมีเฉพาะกระถางพลาสติกและกรวดหยาบ เริ่มการทดลองโดยเติมน้ำเสีย จากฟาร์มกบที่เจือจางแล้วปริมาตร 10 ลิตรในถังแต่ละใบ วางถังในบริเวณที่มีแสงส่องตลอดวัน การเก็บตัวอย่างน้ำและการวิเคราะห์ข้อมูล เก็บตัวอย่างน้ำทิ้งเริ่มต้นทดลอง และเก็บน้ำทิ้งทุกๆ 3 วันโดยใช้ขวดพลาสติกขนาด 200 มิลลิลิตร เก็บตัวอย่าง น้ำปริมาตร 200 มิลลิลิตร 1 ตัวอย่างต่อ 1 ถังทดลอง โดยเก็บตัวอย่างน้ำจากผิวน้ำเพื่อไม่ให้มีตะกอนปนมา นำตัวอย่าง น้ำไปวิเคราะห์แอมโมเนีย โดยใช้วิธี Phenol-hypochlorite ไนไตรท์ โดยใช้วิธี Diazotization (กรมประมง, 2562) ไนเตรทโดยใช้วิธี Diphenol sulfonic acid (Kuchnicki and Webster, 1986) และออร์โธฟอสเฟตในน้ำ โดย Ascorbic acid method (อรทัย ชวาลภาฤทธิ์, 2545) ในกรณีที่ไม่สามารถทำการวิเคราะห์ตัวอย่างได้ทันทีจะนำน้ำตัวอย่างไปแช่ เยือกแข็งที่อุณหภูมิ -14 องศาเซลเซียส การหาประสิทธิภาพในการบำบัด นำปริมาณแอมโมเนีย ไนไตรท์ ไนเตรท และออร์โธฟอสเฟต จากการวิเคราะห์มาคำนวณประสิทธิภาพการบำบัด ของเสียตามวิธีการของ Nakphet et al. (2017) ตามสมการ ประสิทธิภาพการบำบัด (%) = (ปริมาณของเสียในชุดควบคุม - ปริมาณของเสียในชุดทดลอง) x 100 ปริมาณของเสียในชุดควบคุม การหามวลชีวภาพ วัดมวลชีวภาพของพรรณไม้น้ำสวยงามจากแต่ละหน่วยทดลองตามวิธีการของ Nhan and Tuong (2020) โดย เก็บตัวอย่างพืชทั้งต้น ล้างด้วยน้ำประปาจนไม่มีตะกอนปนเปื้อน จากนั้นนำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 65-70 องศาเซลเซียส จนกระทั่งมีน้ำหนักคงที่ การวิเคราะห์ทางสถิติ นำข้อมูลปริมาณแอมโมเนีย ไนไตรท์ ไนเตรท และฟอสเฟต ของแต่ละชุดการทดลองมาวิเคราะห์ความแปรปรวน แบบทางเดียว (One Way Analysis of Variance, ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยแต่ละชุดด้วย Duncan’s new Multiple Range Test (DMRT) ด้วยโปรแกรม Statistics Data Editor (SPSS) Version 25 (Thaksin university Ref ID: TH-03-1118) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ผลและวิจารณ์ผลการทดลอง จากการศึกษาประสิทธิภาพการบำบัดแอมโมเนียจากน้ำทิ้งฟาร์มเลี้ยงกบ พบว่าสาหร่ายคาบอมบา สามารถลด ปริมาณแอมโมเนียในน้ำได้สูง และมีประสิทธิภาพในการบำบัดแอมโมเนียสูงสุดในเวลา 6 วันหลังการทดลอง (ตารางที่ 1, 2) โดยประสิทธิภาพการบำบัดแอมโมเนียของสาหร่ายคาบอมบาในการทดลองนี้มีค่ามากกว่าประสิทธิภาพการบำบัดแอมโมเนีย ที่เคยมีรายงานในการทดลองใช้จอก แหนแดง และแหนเป็ดเป็นพืชบําบัดน้ำทิ้งในการเลี้ยงปลาตะเพียนทอง ที่พบว่า แหนเป็ดเป็นพรรณไม้น้ำลอยน้ำที่มีประสิทธิภาพในการบําบัดแอมโมเนียได้ดีที่สุดโดยมีประสิทธิภาพ 51.56±13.39% (มณีรัตน์ หวังวิบูลย์ และคณะ, 2553) และมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้กกรังกาบำบัดน้ำทิ้งจากการเลี้ยงปลาดุก (วิภาดา วงค์เรือนแก้ว และโสมนัส สมประเสริฐ, 2559) และการใช้ผักตบชวา แฝก และกกรังกาบำบัดน้ำทิ้งจากการเลี้ยงปลาดุก (Raharjo et al., 2018) ซึ่งสามารถกำจัดแอมโมเนียได้ 89.00 15.80 66.70 และ 67.0% ตามลำดับ ทั้งนี้ค่าแอมโมเนีย ที่ลดลง อาจเกิดขึ้นจากพืชดูดซับแอมโมเนียจากน้ำทิ้งมาใช้ในการเจริญเติบโต (Nakphet et al., 2017) และเมื่อเทียบกับ ค่ามาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดประเภท ข จะพบว่าสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายคาบอมบา และสาหร่ายดาวกระจาย สามารถลดแอมโมเนียให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานก่อนระบายทิ้งได้ โดยมีค่าไม่เกิน 1.1 มิลลิกรัม/ลิตร (กรมควบคุมมลพิษ, 2563) อย่างไรก็ตามพบว่าแอมโมเนียในชุดควบคุมก็มีปริมาณลดลงเช่นกัน ซึ่งอาจเกิดจากการทำงาน ของแบคทีเรีย และจุลสาหร่ายที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำทิ้งตามธรรมชาติ
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy Mzk3MzI3