เอกสารการประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัย ครั้งที่ 21 / 2554 (Oral) - page 532

บทนํ
จั
งหวั
ดพั
ทลุ
งเป็
นแหล่
งปลู
กข้
าวที่
สํ
าคั
ญของภาคใต้
ข้
าวสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
งเป็
นข้
าวพื
นเมื
องที่
ปลู
ดั
งเดิ
มในจั
งหวั
ดพั
ทลุ
ง ในฤดู
นาปี
ได้
มี
การพั
ฒนาปรั
บปรุ
งสายพั
นธุ
มาตลอดตั
งแต่
ปี
พ.ศ. 2531 จนกระทั่
งได้
สายพั
นธุ
บริ
สุ
ทธิ
ในปี
พ.ศ. 2543 และในปี
พ.ศ. 2550 คณะกรรมการบริ
หารกรมวิ
ชาการเกษตร ได้
แนะนํ
าให้
เป็
นพั
นธุ
แนะนํ
าชื่
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง (สํ
านั
กวิ
จั
ยและพั
ฒนาข้
าว) และเนื่
องจากคุ
ณค่
าทางอาหารและลั
กษณะของเมล็
ดข้
าวที่
มี
สี
สวยงามของ
ข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง ในระยะเวลาต่
อมาได้
มี
การส่
งเสริ
มจากภาครั
ฐให้
มี
การเพาะปลู
กข้
าวสั
งข์
หยดกั
นอย่
างแพร่
หลาย
และกํ
าหนดเป็
นยุ
ทธศาสตร์
ของจั
งหวั
ดพั
ทลุ
ง เพื่
อส่
งเสริ
มการเพาะปลู
กข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
งตลอดจนการแปรรู
ปอาหาร
จากข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
งอย่
างกว้
างขวาง อาทิ
เช่
น ไอศครี
มข้
าวสั
งข์
หยด นํ
ามั
นรํ
าข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง และขนมข้
าวแตน
จากข้
าวสั
งข์
หยด เป็
นต้
เทคนิ
คเอกซเรย์
ฟลู
ออเรสเซนซ์
แบบกระจายพลั
งงานเป็
นเทคนิ
คที่
มี
ข้
อดี
ที่
ไม่
ทํ
าลายสารตั
วอย่
างและให้
ผล
การวิ
เคราะห์
ที่
รวดเร็
ว (สั
มพั
นธุ
วงศ์
นาวา. 2547; Burkhard.
et.al
., 2005) นอกจากนี
เทคนิ
คนี
ถู
กใช้
กั
นอย่
างแพร่
หลายใน
การวิ
เคราะห์
หาธาตุ
องค์
ประกอบในไลเคน (Richardson.
et.al.,
1995) ผั
กโขม (Dogan.
et.al.,
2005) นํ
าผลไม้
(Bao.
et.al.,
1999) และข้
าว (ละออ เจริ
ญสุ
ข. 2549; สุ
นั
นทา ชู
ทอง. 2549; ธวั
ฒน์
ชั
ย เทพนวล. 2551; เพชรพงศ์
สุ
ทธิ
พงศ์
.
2553) ในการวิ
จั
ยนี
ได้
เลื
อกวิ
เคราะห์
ธาตุ
โพแทสเซี
ยม ฟอสฟอรั
ส และซั
ลเฟอร์
เชิ
งปริ
มาณด้
วยเทคนิ
ค EDXRF ในข้
าว
กล้
องสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง เพื่
อเป็
นข้
อมู
ลพื
นฐานเพิ่
มเติ
มทางโภชนาการด้
านคุ
ณค่
าทางอาหารของข้
าวสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง และข้
อมู
ลการเพาะปลู
กข้
าวสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
งในแต่
ละพื
นที่
เพาะปลู
กซึ
งจะนํ
าไปพั
ฒนาคุ
ณค่
าทาง
โภชนาการของข้
าวสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดต่
อไป
วิ
ธี
การวิ
จั
การเก็
บตั
วอย่
างข้
าวสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
เลื
อกเก็
บตั
วอย่
างข้
าวเปลื
อกสายพั
นธุ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง จาก 12 ตํ
าบล ในจั
งหวั
ดพั
ทลุ
ง ดั
งภาพที่
1 ปริ
มาณข้
าว
ที่
เก็
บจากเกษตกรประมาณ 0.5 – 1 กิ
โลกรั
ม นํ
ามาอบด้
วยตู
อบอุ
ณหภู
มิ
55 องศาเซลเซี
ยส เป็
นเวลา 24 ชั
วโมง เพื่
อไล่
ความชื
น ต่
อจากนั
นนํ
ามากระเทาะเปลื
อกออกจะได้
ข้
าวกล้
องนํ
าไปเข้
าเครื่
องบด (รุ
น Inspec 8000M) เป็
นเวลา 5 ชั่
วโมง
นํ
าตั
วอย่
างข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
งที่
ผ่
านการบดแล้
วผสมกั
บสารผสม (Wax C) ในสั
ดส่
วน 4 ต่
อ 1 แล้
วนํ
าไปเข้
าเครื่
องบด
เพื่
อผสมให้
เป็
นเนื
อเดี
ยวกั
น เป็
นเวลา 5 นาที
แล้
วนํ
าไปชั่
งด้
วยเครื่
องชั่
งทศนิ
ยม 4 ตํ
าแหน่
ง จํ
านวน 2.5 กรั
ม ต่
อตั
วอย่
าง
แต่
ละตํ
าแหน่
งของพื
นที่
จะใช้
ตั
วอย่
าง จํ
านวน 5 ตั
วอย่
าง นํ
าไปอั
ดด้
วยเครื่
องอั
ดไฮโดรลิ
กที่
แรงอั
น 10,000 ปอนด์
ที่
เวลา
การอั
ด 10 วิ
นาที
ตั
วอย่
างที่
ได้
จะมี
ขนาดเส้
นผ่
านศู
นย์
กลาง 31 มิ
ลลิ
เมตร ความหนาประมาณ 3 มิ
ลลิ
เมตร
การเตรี
ยมสารมาตรฐาน K, P และ S
เตรี
ยมสารมาตรฐานโพแทสเซี
ยม (K) โดยใช้
สารโพแทสเซี
ยมคลอไรด์
(KCl) ความเข้
มข้
น 99.5% สาร
มาตรฐานฟอสฟอรั
ส (P) เตรี
ยมจากสาร KH
2
PO
4
99.5% และสารมาตรฐานซั
ลเฟอร์
(S) เตรี
ยมจากสาร MgSO
4
ความ
เข้
มข้
น 98% สารทั
งสามชนิ
ดเป็
นเกรดวิ
เคราะห์
สารมาตรฐานแต่
ละธาตุ
ต้
องเตรี
ยมให้
ได้
5 ระดั
บความเข้
มข้
น โดยชั่
มวลสารของแต่
ละสารที่
แตกต่
างกั
น 5 ระดั
บ แล้
วนํ
าไปผสมกั
บสารยึ
ดเหนี่
ยว (Wax C) บดรวมกั
นด้
วยเครื่
องบดเป็
เวลา 1 ชั่
วโมง ต่
อจากนั
นในแต่
ละความเข้
มข้
นชั่
งสารที่
ผสมแล้
วจํ
านวน 3 กรั
ม แล้
วนํ
าไปอั
ดด้
วยเครื่
องอั
ดไฮโดรลิ
กที่
15,000 ปอนด์
เป็
นเวลา 30 วิ
นาที
จะได้
แผ่
นสารมาตรฐานดั
งภาพที่
2 นํ
าไปปรั
บเที
ยบมาตรฐานด้
วยโปรแกรมในเครื่
อง
วิ
เคราะห์
เอกซเรย์
ฟลู
ออเรสเซนต์
แบบกระจายพลั
งงาน (Oxford ED 2000) แสดงได้
ดั
งกราฟการปรั
บเที
ยบในภาพที่
3
1...,522,523,524,525,526,527,528,529,530,531 533,534,535,536,537,538,539,540,541,542,...1102
Powered by FlippingBook