บทนํ
า
จั
งหวั
ดพั
ทลุ
งเป็
นแหล่
งปลู
กข้
าวที่
สํ
าคั
ญของภาคใต้
ข้
าวสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
งเป็
นข้
าวพื
้
นเมื
องที่
ปลู
ก
ดั
้
งเดิ
มในจั
งหวั
ดพั
ทลุ
ง ในฤดู
นาปี
ได้
มี
การพั
ฒนาปรั
บปรุ
งสายพั
นธุ
์
มาตลอดตั
้
งแต่
ปี
พ.ศ. 2531 จนกระทั่
งได้
สายพั
นธุ
์
บริ
สุ
ทธิ
์
ในปี
พ.ศ. 2543 และในปี
พ.ศ. 2550 คณะกรรมการบริ
หารกรมวิ
ชาการเกษตร ได้
แนะนํ
าให้
เป็
นพั
นธุ
์
แนะนํ
าชื่
อ
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง (สํ
านั
กวิ
จั
ยและพั
ฒนาข้
าว) และเนื่
องจากคุ
ณค่
าทางอาหารและลั
กษณะของเมล็
ดข้
าวที่
มี
สี
สวยงามของ
ข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง ในระยะเวลาต่
อมาได้
มี
การส่
งเสริ
มจากภาครั
ฐให้
มี
การเพาะปลู
กข้
าวสั
งข์
หยดกั
นอย่
างแพร่
หลาย
และกํ
าหนดเป็
นยุ
ทธศาสตร์
ของจั
งหวั
ดพั
ทลุ
ง เพื่
อส่
งเสริ
มการเพาะปลู
กข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
งตลอดจนการแปรรู
ปอาหาร
จากข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
งอย่
างกว้
างขวาง อาทิ
เช่
น ไอศครี
มข้
าวสั
งข์
หยด นํ
้
ามั
นรํ
าข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง และขนมข้
าวแตน
จากข้
าวสั
งข์
หยด เป็
นต้
น
เทคนิ
คเอกซเรย์
ฟลู
ออเรสเซนซ์
แบบกระจายพลั
งงานเป็
นเทคนิ
คที่
มี
ข้
อดี
ที่
ไม่
ทํ
าลายสารตั
วอย่
างและให้
ผล
การวิ
เคราะห์
ที่
รวดเร็
ว (สั
มพั
นธุ
์
วงศ์
นาวา. 2547; Burkhard.
et.al
., 2005) นอกจากนี
้
เทคนิ
คนี
้
ถู
กใช้
กั
นอย่
างแพร่
หลายใน
การวิ
เคราะห์
หาธาตุ
องค์
ประกอบในไลเคน (Richardson.
et.al.,
1995) ผั
กโขม (Dogan.
et.al.,
2005) นํ
้
าผลไม้
(Bao.
et.al.,
1999) และข้
าว (ละออ เจริ
ญสุ
ข. 2549; สุ
นั
นทา ชู
ทอง. 2549; ธวั
ฒน์
ชั
ย เทพนวล. 2551; เพชรพงศ์
สุ
ทธิ
พงศ์
.
2553) ในการวิ
จั
ยนี
้
ได้
เลื
อกวิ
เคราะห์
ธาตุ
โพแทสเซี
ยม ฟอสฟอรั
ส และซั
ลเฟอร์
เชิ
งปริ
มาณด้
วยเทคนิ
ค EDXRF ในข้
าว
กล้
องสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง เพื่
อเป็
นข้
อมู
ลพื
้
นฐานเพิ่
มเติ
มทางโภชนาการด้
านคุ
ณค่
าทางอาหารของข้
าวสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง และข้
อมู
ลการเพาะปลู
กข้
าวสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
งในแต่
ละพื
้
นที่
เพาะปลู
กซึ
่
งจะนํ
าไปพั
ฒนาคุ
ณค่
าทาง
โภชนาการของข้
าวสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดต่
อไป
วิ
ธี
การวิ
จั
ย
การเก็
บตั
วอย่
างข้
าวสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง
เลื
อกเก็
บตั
วอย่
างข้
าวเปลื
อกสายพั
นธุ
์
สั
งข์
หยดพั
ทลุ
ง จาก 12 ตํ
าบล ในจั
งหวั
ดพั
ทลุ
ง ดั
งภาพที่
1 ปริ
มาณข้
าว
ที่
เก็
บจากเกษตกรประมาณ 0.5 – 1 กิ
โลกรั
ม นํ
ามาอบด้
วยตู
้
อบอุ
ณหภู
มิ
55 องศาเซลเซี
ยส เป็
นเวลา 24 ชั
่
วโมง เพื่
อไล่
ความชื
้
น ต่
อจากนั
้
นนํ
ามากระเทาะเปลื
อกออกจะได้
ข้
าวกล้
องนํ
าไปเข้
าเครื่
องบด (รุ
่
น Inspec 8000M) เป็
นเวลา 5 ชั่
วโมง
นํ
าตั
วอย่
างข้
าวสั
งข์
หยดพั
ทลุ
งที่
ผ่
านการบดแล้
วผสมกั
บสารผสม (Wax C) ในสั
ดส่
วน 4 ต่
อ 1 แล้
วนํ
าไปเข้
าเครื่
องบด
เพื่
อผสมให้
เป็
นเนื
้
อเดี
ยวกั
น เป็
นเวลา 5 นาที
แล้
วนํ
าไปชั่
งด้
วยเครื่
องชั่
งทศนิ
ยม 4 ตํ
าแหน่
ง จํ
านวน 2.5 กรั
ม ต่
อตั
วอย่
าง
แต่
ละตํ
าแหน่
งของพื
้
นที่
จะใช้
ตั
วอย่
าง จํ
านวน 5 ตั
วอย่
าง นํ
าไปอั
ดด้
วยเครื่
องอั
ดไฮโดรลิ
กที่
แรงอั
น 10,000 ปอนด์
ที่
เวลา
การอั
ด 10 วิ
นาที
ตั
วอย่
างที่
ได้
จะมี
ขนาดเส้
นผ่
านศู
นย์
กลาง 31 มิ
ลลิ
เมตร ความหนาประมาณ 3 มิ
ลลิ
เมตร
การเตรี
ยมสารมาตรฐาน K, P และ S
เตรี
ยมสารมาตรฐานโพแทสเซี
ยม (K) โดยใช้
สารโพแทสเซี
ยมคลอไรด์
(KCl) ความเข้
มข้
น 99.5% สาร
มาตรฐานฟอสฟอรั
ส (P) เตรี
ยมจากสาร KH
2
PO
4
99.5% และสารมาตรฐานซั
ลเฟอร์
(S) เตรี
ยมจากสาร MgSO
4
ความ
เข้
มข้
น 98% สารทั
้
งสามชนิ
ดเป็
นเกรดวิ
เคราะห์
สารมาตรฐานแต่
ละธาตุ
ต้
องเตรี
ยมให้
ได้
5 ระดั
บความเข้
มข้
น โดยชั่
ง
มวลสารของแต่
ละสารที่
แตกต่
างกั
น 5 ระดั
บ แล้
วนํ
าไปผสมกั
บสารยึ
ดเหนี่
ยว (Wax C) บดรวมกั
นด้
วยเครื่
องบดเป็
น
เวลา 1 ชั่
วโมง ต่
อจากนั
้
นในแต่
ละความเข้
มข้
นชั่
งสารที่
ผสมแล้
วจํ
านวน 3 กรั
ม แล้
วนํ
าไปอั
ดด้
วยเครื่
องอั
ดไฮโดรลิ
กที่
15,000 ปอนด์
เป็
นเวลา 30 วิ
นาที
จะได้
แผ่
นสารมาตรฐานดั
งภาพที่
2 นํ
าไปปรั
บเที
ยบมาตรฐานด้
วยโปรแกรมในเครื่
อง
วิ
เคราะห์
เอกซเรย์
ฟลู
ออเรสเซนต์
แบบกระจายพลั
งงาน (Oxford ED 2000) แสดงได้
ดั
งกราฟการปรั
บเที
ยบในภาพที่
3