2
บทนํ
า
แบตเตอรี่
เป็
นเซลล์
กั
ลวานิ
ก ที่
เปลี่
ยนพลั
งงานเคมี
เป็
นพลั
งงานไฟฟ้
า มี
ทั
้
งชนิ
ดที่
เป็
นเซลล์
ปฐมภู
มิ
(primary cell)
และเซลล์
ทุ
ติ
ยภู
มิ
(secondary cell) ประกอบด้
วยเซลล์
ไฟฟ้
า 2 ขั
้
ว คื
อ ขั
้
วไฟฟ้
าลบ (anode) ทํ
าหน้
าที่
ให้
อิ
เล็
กตรอน และ
ขั
้
วไฟฟ้
าบวก (cathode) ทํ
าหน้
าที่
รั
บอิ
เล็
กตรอน แบตเตอรี่
ที่
ใช้
ในครั
้
งเดี
ยวแล้
วทิ
้
ง ไม่
สามารถอั
ดประจุ
ไฟฟ้
าใหม่
ได้
(non-rechargeable) เรี
ยกว่
า เซลล์
ปฐมภู
มิ
(primary cell) และแบตเตอรี่
ที่
สามารถอั
ดประจุ
ไฟฟ้
าใหม่
ได้
(rechargeable)
เรี
ยกว่
า เซลล์
ทุ
ติ
ยภู
มิ
(secondary cell) (Scherson, A. Daniel and Palencsár, Attila. 2006 : 17) ดั
งนั
้
น ในการพั
ฒนาและ
ปรั
บปรุ
งขั
้
วไฟฟ้
าชนิ
ดใหม่
ของแบตเตอรี่
จะต้
องคํ
านึ
งถึ
งเคมี
ไฟฟ้
าของตั
วเก็
บประจุ
ไฟฟ้
า เช่
น พื
้
นผิ
ว ของวั
สดุ
นาโน
วั
สดุ
ศาสตร์
เพื่
อใช้
เพิ่
มประสิ
ทธิ
ภาพการเก็
บพลั
งงานไฟฟ้
า โครงสร้
างนาโนที่
เกิ
ดขึ
้
นมี
ข้
อดี
มากกว่
าวั
สดุ
เช่
น ผลของ
โครงสร้
าง รู
ปร่
าง และขนาดที่
ใช้
ประดิ
ษฐ์
เป็
นขั
้
วไฟฟ้
า ทํ
าให้
นํ
้
าหนั
กเบา ส่
งผลต่
อสมบั
ติ
ทางไฟฟ้
าขั
้
วไฟฟ้
า เพราะจะ
ทํ
าให้
การรั
บและการให้
อิ
เล็
กตรอนเกิ
ดขึ
้
นได้
มาก ในปั
จจุ
บั
นโครงสร้
างนาโนชนิ
ดใหม่
เช่
น nanowires, nanotubes,
nanourchins, nanoflake, nanobelts, nanopaticle, nanoribbon และ porous nanospheres ฯลฯ (Chen and Cheng, 2008 : 713)
สํ
าหรั
บกระบวนการสั
งเคราะห์
สารประกอบเพื่
อให้
อยู
่
ในระดั
บนาโนเมตร มี
หลายวิ
ธี
เช่
น sol-gel
process,
solvothermal synthesis, precipitation process, combustion process, solid-state reaction และ hydrothermal synthesis
เป็
นต้
น ในที่
นี
้
ผู
้
ทํ
าการวิ
จั
ยได้
เลื
อกใช้
วิ
ธี
สั
งเคราะห์
สารด้
วยไฮโดรเทอร์
มั
ล เนื่
องจากมี
ข้
อดี
หมายประการ เช่
น ใช้
นํ
้
าเป็
นตั
ว
ทํ
าละลาย สามารถทํ
าได้
เสร็
จในขั
้
นตอนเดี
ยว ไม่
ทํ
าลายพั
นธะอย่
างอ่
อน (weak interaction) เช่
น พั
นธะไฮโดรเจน
(H-bonding) และที่
สํ
าคั
ญให้
เปอร์
เซ็
นต์
ของผลิ
ตภั
ณฑ์
ที่
สู
ง
ดั
งนั
้
นจากเหตุ
ผลดั
งกล่
าวข้
างต้
นผู
้
วิ
จั
ย จึ
งได้
สั
งเคราะห์
สารประกอบซิ
งค์
วาเนเดี
ยมออกไซด์
ที่
อยู
่
ในระดั
บนาโนด้
วยวิ
ธี
ไฮโดรเทอร์
มั
ล เพื่
อสามารถนํ
าไปประยุ
กต์
ใช้
ทํ
าเป็
นขั
้
วไฟฟ้
า
ในแบตเตอรี่
ในอนาคตได้
วิ
ธี
การวิ
จั
ย
ตอนที่
1 สั
งเคราะห์
สารประกอบซิ
งค์
วาเนเดี
ยมออกไซด์
ในก ารสั
ง เ คราะห์
สา รประกอบว า เน เ ดี
ยมออกไซด์
โดยใช้
สา รตั
้
งต้
น คื
อ ซิ
งค์
อะซี
เ ตตไดไฮ เ ดรต
(Zn(CH
3
COO)
2
x
2H
2
O) นํ
้
าหนั
ก 0.44 กรั
ม (1 มิ
ลลิ
โมล) ทํ
าปฏิ
กิ
ริ
ยากั
บแอมโมเนี
ยมเมตาวานาเดต (NH
4
VO
3
) นํ
้
าหนั
ก 0.24
กรั
ม (1 มิ
ลลิ
โมล) นํ
ามาละลายนํ
้
า ปริ
มาตร 10 มิ
ลลิ
ลิ
ตร คนสารละลายตลอดเวลา ประมาณ 30 นาที
จะได้
สารละลายสี
เหลื
อง
ขุ
่
น ซึ
่
งมี
ค่
า pH เท่
ากั
บ 5 จากนั
้
นกรองสารละลายที่
ได้
ตั
้
งทิ
้
งไว้
ให้
มี
การตกผลึ
ก ประมาณ 20 วั
น จะได้
ผลึ
กสี
เหลื
องใส รู
ป
เหลี่
ยม นอกจากนี
้
เตรี
ยมสารละลายเหมื
อนเดิ
ม แต่
ปรั
บ pH ให้
เท่
ากั
บ 3 ด้
วย 1 โมลาร์
กรดไฮโดรคลอริ
ก จะได้
สารละลายสี
เหลื
องใส สั
งเคราะห์
ด้
วยไฮโดรเทอร์
มั
ลที่
อุ
ณหภู
มิ
200 องศาเซลเซี
ยส เป็
นเวลา 24 ชั่
วโมง จากนั
้
นทํ
าให้
เย็
นลงที
่
อุ
ณหภู
มิ
ห้
อง แล้
วล้
างด้
วยนํ
้
ากลั่
นและเอทานอลหลายๆ ครั
้
ง แล้
วทํ
าให้
แห้
ง จะได้
สารเป็
นผงสี
เหลื
อง
ตอนที่
2 การวิ
เคราะห์
และแปลผลที่
ได้
จากเครื่
องมื
อของสารประกอบซิ
งค์
วาเนเดี
ยมออกไซด์
นํ
าสารที่
สั
งเคราะห์
ได้
วิ
เคราะห์
ด้
วยเครื่
องมื
อต่
างๆ ดั
งนี
้
Fourier Transform Infrared Spectrophotometer (FT-IR),
Single Crystal X-ray Diffractometer (SXRD) และ Powder X-ray Diffractometer (PXRD) และ Scanning Electron
Microscope (SEM) เป็
นต้
น