3
และกลุ
มควบคุ
มเท
า
ๆ กั
น
จากนั้
นสุ
มอาสาสมั
ครในแต
ละกลุ
มย
อยออกเป
นกลุ
มศึ
กษาและกลุ
มควบคุ
มโดยวิ
ธี
enveloped block randomization กลุ
มศึ
กษาจะได
รั
บยาอมเม็
ดแข็
งหญ
าดอกขาว โดยยาอม 1 เม็
ดมี
สารสกั
ดหญ
าดอกขาว
ในปริ
มาณที่
ได
จากหญ
าดอกขาวแห
งขนาด 3 กรั
ม ส
วนกลุ
มควบคุ
มได
รั
บยาอมที่
มี
ลั
กษณะและส
วนประกอบเหมื
อนกั
บ
ยาอมที่
ให
ในกลุ
มศึ
กษายกเว
นไม
มี
สารสกั
ดหญ
าดอกขาว โดยให
อมครั้
งละ 1 เม็
ด ทุ
ก 4-6 ชั่
วโมง เป
นเวลา 4 สั
ปดาห
กํ
าหนดวั
นเลิ
กบุ
หรี่
เป
นวั
นที่
8 ของการได
รั
บยาอม อาสาสมั
ครทุ
กคน ได
รั
บคํ
าปรึ
กษาในการเลิ
กบุ
หรี่
จากเภสั
ชกรใน
สั
ปดาห
ที่
0, 1, 2, 4, 8 และ 12 ของการเข
าร
วมการศึ
กษา
สํ
าหรั
บการติ
ดตามเหตุ
การณ
ไม
พึ
งประสงค
ได
จากการสอบถามและการรายงานจากอาสาสมั
ครทุ
กครั้
งที่
นั
ด
ติ
ดตาม นอกจากนี้
อาสาสมั
ครทุ
กรายจะได
รั
บการวั
ดความดั
นโลหิ
ต ชี
พจร และตรวจผลทางห
องปฏิ
บั
ติ
การ ได
แก
ความ
สมบู
รณ
ของเลื
อด การทํ
างานของตั
บและไต ระดั
บน้ํ
าตาลในเลื
อด และระดั
บเกลื
อแร
ในเลื
อด ก
อนรั
บยาอมและสั
ปดาห
ที่
2 และ 4 หลั
งได
รั
บยาอมเพื่
อเฝ
าระวั
งความปลอดภั
ย
การประเมิ
นผลการเลิ
กบุ
หรี่
ใช
ข
อมู
ลจากรายงานของอาสาสมั
ครเอง (self report) และยื
นยั
นผลโดยใช
ชุ
ดตรวจหาโคติ
นิ
นในป
สสาวะที่
มี
cut off concentration เท
ากั
บ 200 ng/ml ทํ
าการประเมิ
นผลในสั
ปดาห
ที่
2, 4, 8 และ 12 นั
บจากวั
นที่
เริ่
มต
นใช
ยาอม ซึ่
งจะ
แสดงอั
ตราการเลิ
กบุ
หรี่
เป
น 2 แบบ คื
อ
1.
อั
ตราการเลิ
กบุ
หรี่
ในช
วง 7 วั
นก
อนวั
นประเมิ
นผล (7 day point prevalence abstinence rate, PAR) โดย
ถื
อว
าสามารถเลิ
กบุ
หรี่
ได
สํ
าเร็
จ เมื่
อ self report สนั
บสนุ
นว
าไม
มี
การสู
บบุ
หรี่
ตลอด 7 วั
นก
อนวั
นนั
ดติ
ดตามแต
ละครั้
ง
ร
วมกั
บผลการตรวจโคติ
นิ
นในป
สสาวะเป
นลบ
2.
อั
ตราการเลิ
กบุ
หรี่
อย
างต
อเนื่
อง (continuous abstinence rate, CAR) โดยถื
อว
าสามารถเลิ
กบุ
หรี่
ได
สํ
าเร็
จ
เมื่
อ self report สนั
บสนุ
นว
าไม
มี
การสู
บบุ
หรี่
ตั้
งแต
วั
นกํ
าหนดเลิ
กบุ
หรี่
จนถึ
งวั
นนั
ดติ
ดตามร
วมกั
บผลการตรวจโคติ
นิ
น
ในป
สสาวะเป
นลบ
สถิ
ติ
ที่
ใช
ในการวิ
เคราะห
ข
อมู
ล
วิ
เคราะห
ข
อมู
ลด
วยโปรแกรมสํ
าเร็
จรู
ปทางสั
งคมศาสตร
โดยสถิ
ติ
ที่
ใช
วิ
เคราะห
ดั
งนี้
สถิ
ติ
เชิ
งพรรณนา (descriptive statistics)
แสดงข
อมู
ลเป
นร
อยละ ค
าเฉลี่
ยเลขคณิ
ต ค
าเบี่
ยงเบนมาตรฐาน ของ
ข
อมู
ลพื้
นฐาน เหตุ
การณ
ไม
พึ
งประสงค
และอั
ตราการเลิ
กบุ
หรี่
ของอาสาสมั
ครในกลุ
มศึ
กษาและกลุ
มควบคุ
ม
สถิ
ติ
เชิ
งอนุ
มาน (inferential statistics)
เพื่
อทดสอบความแตกต
างระหว
างกลุ
มศึ
กษาและกลุ
มควบคุ
มด
วย
Chi-square test หรื
อ Fisher’s Exact test สํ
าหรั
บตั
วแปรชนิ
ดนามบั
ญญั
ติ
และตั
วแปรอั
นดั
บ และ Independent t test หรื
อ
Mann-Whitney U test
สํ
าหรั
บตั
วแปรชนิ
ดต
อเนื่
อง โดยกํ
าหนดระดั
บนั
ยสํ
าคั
ญทางสถิ
ติ
α
=0.05 วิ
เคราะห
ด
วยวิ
ธี
intention to treat ผู
ที่
สู
ญหายจากการศึ
กษาและหยุ
ดการศึ
กษาก
อนกํ
าหนด ถื
อว
าเป
นผู
ที่
ไม
สามารถเลิ
กบุ
หรี่
ได
การคํ
านวณจํ
านวนตั
วอย
างในการศึ
กษานี้
ใช
สู
ตรคํ
านวณกลุ
มตั
วอย
างที่
เป
นอิ
สระต
อกั
น กํ
าหนด
α
=0.05 และ
β
=0.2 และกํ
าหนดให
ขนาดของความแตกต
างเท
ากั
บ 0.363 โดยพิ
จารณาจากข
อมู
ลของการศึ
กษาประสิ
ทธิ
ผลของหญ
า
ดอกขาวในการเลิ
กบุ
หรี่
แบบ randomized single blind placebo controlled (ปรี
ดา, 2549) ประมาณจํ
านวนผู
ที่
ออกจาก
การศึ
กษาก
อนกํ
าหนด (drop out) ร
อยละ 15 ดั
งนั้
นต
องใช
กลุ
มตั
วอย
างกลุ
มละ 33 ราย
ข
อพิ
จารณาด
านจริ
ยธรรม
การศึ
กษาครั้
งนี้
ได
รั
บความเห็
นชอบจากคณะกรรมการจริ
ยธรรมการวิ
จั
ยในคน คณะเภสั
ชศาสตร
มหาวิ
ทยาลั
ย
สงขลานคริ
นทร
และโรงพยาบาลสิ
ชล จั
งหวั
ดนครศรี
ธรรมราช
1516
การประชุ
มวิ
ชาการระดั
บชาติ
มหาวิ
ทยาลั
ยทั
กษิ
ณ ครั้
งที่
22 ประจำปี
2555