การประชุมวิชาการและผลงานวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ครั้งที่ 17 2550 - page 143

การทดลองที่
2 อาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA ที่
ระดั
บความเข
มข
น 5 ระดั
ภายหลั
งนํ
าชิ้
นส
วนตาข
างของต
นกวาวเครื
อขาวที่
ได
จากการเพาะเมล็
ด ในสภาพปลอดเชื้
อเป
นเวลา 1
เดื
อน มาเลี้
ยงบนอาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA ที่
ระดั
บความเข
มข
น 0, 0.1, 0.2, 0.3 และ 0.4 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร เป
นเวลา 1
เดื
อน พบว
1. จํ
านวนยอด ชิ้
นส
วนตาข
างอาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA ความเข
มข
น 0.3 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร สามารถชั
นํ
าให
กวาวเครื
อขาวเกิ
ดยอดใหม
ได
ดี
ที่
สุ
ด คื
อ 6.00 ยอด (ภาพที่
1d) และแตกต
างทางสถิ
ติ
กั
บอาหารชนิ
ดเดี
ยวกั
น ที่
เติ
ม BA ความเข
มข
น 0.2 และ 0.4 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร คื
อมี
จํ
านวนยอดใหม
เฉลี่
ยเท
ากั
บ 4.00 และ 3.60 ยอดตามลํ
าดั
ขณะทรี
ตเมนต
ที่
เติ
ม BA 0.1 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร และชุ
ดควบคุ
มมี
จํ
านวนยอดน
อยที่
สุ
ด คื
อ 1.60 และ 1.00 ยอด
ตามลํ
าดั
บ (ตารางที่
2) ซึ่
งสอดคล
องกั
บรายงานการทดลองของ ศรั
ณย
(2547) ที่
ทดลองเพาะเลี้
ยงกวาวเครื
อขาว บน
อาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA ที่
ระดั
บความเข
มข
น 0.3 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร สามารถเพิ่
มปริ
มาณยอดได
ดี
2. ความยาวยอด ชิ้
นส
วนตาข
างกวาวเครื
อขาวที่
เพาะเลี้
ยงบนอาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA 0.3 มิ
ลลิ
กรั
มต
ลิ
ตร ความยาวสู
งสุ
ด เท
ากั
บ 2.95 เซนติ
เมตร (ภาพที่
2d) แตกต
างทางสถิ
ติ
กั
บทรี
ทเมนต
ที่
เติ
ม BA 0.1, 0.2 และ 0.4
มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร คื
ออยู
ระหว
าง 1.22-1.25 เซนติ
เมตร ส
วนชุ
ดควบคุ
มให
ความยาวยอดน
อยที่
สุ
ดคื
อ 0.52 เซนติ
เมตร
(ตารางที่
2) ผลการทดลองนี้
สอดคล
องกั
บรายงานของ วิ
ชั
ย (2540)
และ สุ
ริ
สา (2539) ที่
ทํ
าการเพาะเลี้
ยงเนื้
อเยื่
กวาวเครื
อขาว เพื่
อชั
กนํ
าให
เกิ
ดรากพบว
าระดั
บความเข
มข
นของ BA มี
ความสั
มพั
นธ
ทางบวกกั
บอั
ตราการเกิ
ดยอด
และการพั
ฒนาของความยาวยอด เมื่
อความเข
มข
นของ BA สู
งขึ้
น จะส
งผลให
จํ
านวนยอดและความยาวยอดเพิ่
มขึ้
ตามไปด
วย
3. เปอร
เซ็
นต
การเกิ
ดยอด ผลการทดลองพบว
าชิ้
นส
วนตาข
างกวาวเครื
อขาวที่
เพาะเลี้
ยงบนอาหารสู
ตร
MS ทุ
กทรี
ทเมนต
มี
เปอร
เซ็
นต
การเกิ
ดยอดเท
ากั
นคื
อ 100 เปอร
เซ็
นต
(ตารางที่
2 และภาพที่
2) ทั้
งนี้
ศรั
ณย
(2547)
กล
าวว
าการเพาะเลี้
ยงเนื้
อเยื่
อกวาวเครื
อขาวสามารถชั
กนํ
าให
เกิ
ดการพั
ฒนาของยอดได
ในทุ
กสู
ตรอาหาร
4. เปอร
เซ็
นต
การเกิ
ดแคลลั
ส พบว
าชิ้
นส
วนตาข
างของกวาวเครื
อขาวที่
เพาะเลี้
ยงบนอาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA ความเข
มข
น 0.2 และ 0.3 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร มี
เปอร
เซ็
นต
การเกิ
ดแคลลั
สสู
งถึ
ง 100 เปอร
เซ็
นต
รองลงไป
ได
แก
อาหารสู
ตร MS ที่
เติ
ม BA ความเข
มข
น 0.1 และ 0.4 มิ
ลลิ
กรั
มต
อลิ
ตร มี
เปอร
เซ็
นต
การเกิ
ดแคลลั
ส 80
เปอร
เซ็
นต
(ตารางที่
2) ส
วนในชุ
ดควบคุ
มไม
พบการเกิ
ดแคลลั
ส (ภาพที่
2a) จะเห็
นได
ว
า BA มี
บทบาทในการชั
กนํ
ให
เกิ
ดแคลลั
สและการพั
ฒนาของยอดใหม
เนื่
องจากสารกลุ
มนี้
ทํ
าหน
าที่
ช
วยเร
งปฏิ
กิ
ริ
ยาในกระบวนการเปลี่
ยน
สภาพของเซลล
และกระตุ
นการแบ
งตั
วของเซลล
เมื่
อพื
ชนั้
น ๆได
รั
บสารในอั
ตราที่
เหมาะสม (คํ
านู
ญ, 2542)
เมื่
อพิ
จารณาชนิ
ดของสารในกลุ
มไซโตไคนิ
นทั้
ง kinetin และ BA พบว
ากวาวเครื
อขาวมี
การตอบสนอง
แตกต
างกั
น ซึ
งจะเห็
นได
ชั
ดเจนว
าเนื้
อเยื่
อที่
เพาะเลี้
ยงบนอาหารที่
เติ
ม BA มี
ต
อปริ
มาณการเกิ
ดยอดใหม
มากกว
าที่
เพาะเลี้
ยงบนอาหารที่
เติ
ม kinetin สอดคล
องกั
บรายงานของ Hu and Wang (1984) ที่
กล
าวว
า 68% ของพื
ชชนิ
ดต
าง ๆ
สามารถเจริ
ญได
ดี
บนอาหารที่
เติ
ม BA ส
วนอี
ก 23% และ 9% ของชนิ
ดพื
ชที่
เหลื
อเจริ
ญเติ
บโตได
ดี
บนอาหารสู
ตรที่
เติ
ม kinetin และ 2iP ตามลํ
าดั
1...,133,134,135,136,137,138,139,140,141,142 144,145,146,147,148,149,150,151,152,153,...702
Powered by FlippingBook