2
บทนํ
า
ความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ท (Corporate social responsibility: CSR) คื
อแนวคิ
ดทีÉ
บริ
ษั
ทดํ
าเนิ
นการสนั
บสนุ
น
ให้
สั
งคมดี
ขึ
Ê
นและสิÉ
งแวดล้
อมสะอาด ผ่
านกระบวนการจั
ดการการปฏิ
สั
มพั
นธ์
กั
บผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ยขององค์
กรด้
วยความสมั
คร
ใจ (European Commission, 2001) ความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ท(CSR) เป็
นสิÉ
งทีÉ
มี
การกล่
าวถึ
งกั
นมากทัÉ
วโลกว่
าเป็
น
แนวทางการทีÉ
เหมาะสมในการประยุ
กต์
ใช้
ในการดํ
าเนิ
นธุ
รกิ
จ เพราะเชืÉ
อมัÉ
นว่
าการดํ
าเนิ
นธุ
รกิ
จอย่
างมี
จริ
ยธรรมและมี
ความ
รั
บผิ
ดชอบจะทํ
าให้
ธุ
รกิ
จประสบความสํ
าเร็
จอย่
างยัÉ
งยื
น ซึ
É
งสามารถก่
อให้
เกิ
ดประโยชน์
ทีÉ
หลากหลายทั
Ê
งทีÉ
มี
ลั
กษณะเป็
นทั
Ê
ง
นามธรรม และรู
ปธรรม อาทิ
สร้
างภาพพจน์
ทีÉ
ดี
เพิÉ
มมู
ลค่
าตราสิ
นค้
า และสร้
างชืÉ
อเสี
ยงให้
กั
บองค์
กร (Schaltegger & Burritt,
2005; Weber, 2008 ) สามารถเป็
นแหล่
งของโอกาส และขยายความสามารถในการสร้
างนวั
ตกรรม (Porter & Kramer, 2006;
Stephenson, 2009; Weber, 2008) ตลอดจนช่
วยองค์
กรในการลดและจั
ดการความเสีÉ
ยงจากการเผชิ
ญกั
บแรงกดดั
นทางสั
งคม
และกลุ
่
มผลประโยชน์
ต่
างๆ (Schaltegger & Burritt, 2005) ปั
จจุ
บั
นแนวคิ
ดความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ทกํ
าลั
งจะ
กลายเป็
นเกณฑ์
มาตรฐานและแนวปฏิ
บั
ติ
ขององค์
กรธุ
รกิ
จทีÉ
ต้
องดํ
าเนิ
นการอย่
างมี
คุ
ณธรรมต่
อสั
งคม(Cheng &Ahmad,2010)
จึ
งกล่
าวได้
ว่
าแนวคิ
ดความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ทจึ
งเป็
นส่
วนสํ
าคั
ญในการช่
วยพั
ฒนาธุ
รกิ
จให้
ประสบความสํ
าเร็
จและ
มี
ความยัÉ
งยื
นภายใต้
ภาวะการแข่
งขั
นทีÉ
รุ
นแรงและหลากหลายในปั
จจุ
บั
น
แนวคิ
ด CSR มี
อิ
ทธิ
พลมาจากทฤษฎี
ผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ย(Stakeholder Theory) ซึ
É
งได้
เสนอวิ
ธี
การใหม่
ในการจั
ดระเบี
ยบ
ความคิ
ดเกีÉ
ยวกั
บความรั
บผิ
ดชอบขององค์
กร ทีÉ
เดิ
มมุ่
งเน้
นการอยู่
รอดและการประสบความสํ
าเร็
จขององค์
กร บนหลั
กการ
ความสามารถขององค์
กรในการสร้
างความมัÉ
งคัÉ
ง ให้
คุ
ณค่
า หรื
อสร้
างความพึ
งพอใจแค่
เพี
ยงถื
อหุ
้
น ไปสู่
การพั
ฒนา
แนวความคิ
ดว่
าต้
องคํ
านึ
งถึ
งผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ยอืÉ
นๆ ร่
วมด้
วย สอดคล้
องกั
บ Mele
/
(2008) ทีÉ
แสดงทั
ศนะว่
าการทีÉ
องค์
กรธุ
รกิ
จ
เป็
นหน่
วยหนึ
É
งของสั
งคมซึ
É
งต้
องได้
รั
บอนุ
ญาตจากสั
งคมในการดํ
าเนิ
นการผลิ
ตสิ
นค้
าและบริ
การ ดั
งนั
Ê
นผลลั
พธ์
ทีÉ
เกิ
ดจาก
การดํ
าเนิ
นธุ
รกิ
จควรจะต้
องตอบสนองต่
อความความต้
องการและคาดหวั
งของสั
งคม นอกเหนื
อจากมุ่
งเน้
นการสร้
างความมัÉ
ง
คัÉ
งและการเติ
บโตทางเศรษฐกิ
จให้
กั
บองค์
กรธุ
รกิ
จเป็
นการเฉพาะเท่
านั
Ê
น
ฉนั
Ê
นจึ
งไม่
ถู
กต้
องทีÉ
องค์
กรจะพิ
จารณาเพี
ยงความสํ
าเร็
จของการดํ
าเนิ
นธุ
รกิ
จทีÉ
มุ่
งแสวงหากํ
าไรสู
งสุ
ดเพี
ยงอย่
างเดี
ยว
แต่
ควรทีÉ
จะต้
องคํ
านึ
งถึ
งการดํ
าเนิ
นการในธุ
รกิ
จทีÉ
มี
ความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคม ซึ
É
งจะไม่
ก่
อให้
เกิ
ดปั
ญหาการดํ
าเนิ
นงานทีÉ
กระทบต่
อผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ย ตลอดจนสั
งคม และสิÉ
งแวดล้
อม อั
นเป็
นเหตุ
ให้
ธุ
รกิ
จเกิ
ดความเสีÉ
ยงในการประกอบการ ดั
งนั
Ê
นการ
สนั
บสนุ
นให้
องค์
กรธุ
รกิ
จดํ
าเนิ
นการตามแนวคิ
ดความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ทโดยพิ
จารณาถึ
งผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ยเป็
น
สิÉ
งจํ
าเป็
นมากขึ
Ê
นจึ
งนํ
ามาสู่
ความสํ
าคั
ญทีÉ
ต้
องศึ
กษาถึ
ง รู
ปแบบความสั
มพั
นธ์
เชิ
งสาเหตุ
ระหว่
างการมี
ส่
วนร่
วมของผู
้
มี
ส่
วน
ได้
เสี
ยและความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ท ตลอดจนการระบุ
ถึ
งองค์
ประกอบของการมี
ส่
วนร่
วมของผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ยและ
ความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ท เพืÉ
อพั
ฒนาการดํ
าเนิ
นการด้
านความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมทีÉ
เหมาะสมกั
บองค์
กรธุ
รกิ
จใน
ประเทศไทย
วิ
ธี
การวิ
จั
ย
งานวิ
จั
ยเรืÉ
องนี
Ê
ดํ
าเนิ
นการทบทวนวรรณกรรม (Literature Review) และการวิ
เคราะห์
เอกสาร (Document Analysis)
นํ
าเสนอรายงานแบบพรรณนาเชิ
งวิ
เคราะห์
(Analysis Description) โดยกรอบแนวคิ
ดเชิ
งทฤษฎี
ทีÉ
สํ
าคั
ญในการศึ
กษาครั
Ê
งนี
Ê
ใช้
ทฤษฎี
ผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ย แนวคิ
ดแบบจํ
าลองปิ
รามิ
ดของความรั
บผิ
ดชอบต่
อสั
งคมของบริ
ษั
ท (Carroll, 1991) และแบบจํ
าลอง
บั
นไดของการมี
ส่
วนร่
วมของผู
้
มี
ส่
วนได้
เสี
ย (Arnstein,1969; Friedman & Miles, 2006) ข้
อมู
ลทีÉ
ใช้
ในการศึ
กษาค้
นคว้
า
ประกอบด้
วย หนั
งสื
อ งานวิ
จั
ย การสื
บค้
นข้
อมู
ล และฐานข้
อมู
ลออนไลน์
ได้
แก่
ABI/Inform, Science Direct, Emerald,
Academic Search Premier (ASP), JSTOR
997
การประชุ
มวิ
ชาการระดั
บชาติ
มหาวิ
ทยาลั
ยทั
กษิ
ณ ครั้
งที่
22 ประจำปี
2555