การประชุมวิชาการระดับชาติมหาวิทยาลัยทักษิณ 2559 - page 238

237
บทนา
การศึ
กษาวิ
ทยาศาสตร์
นั
บว่
าเป็
นสิ่
งสาคั
ญยิ่
งในขณะนี้
ซึ่
งจะเห็
นได้
จากเทคโนโลยี
ที่
เกิ
ดขึ้
นใหม่
ๆ ในปั
จจุ
บั
เทคโนโลยี
ที่
เกิ
ดขึ้
นใหม่
เหล่
านี้
ต่
างล้
วนมาจากแนวคิ
ดของนั
กวิ
ทยาศาสตร์
เมื่
อคิ
ดทฤษฎี
แล้
วนั
กวิ
ทยาศาสตร์
ก็
จะต้
องมาทา
การทดลองซึ่
งการทดลองก็
ถื
อว่
าเป็
นสิ่
งจาเป็
นมากในการพิ
สู
จน์
กฎทฤษฎี
เพื่
อให้
ได้
สิ่
งที่
ถู
กต้
องที่
สุ
ด ก่
อนที่
จะนาความรู้
มา
ประยุ
กต์
ใช้
ให้
เกิ
ดประโยชน์
ได้
จริ
ง ดั
งนั้
นการเรี
ยนการสอนวิ
ทยาศาสตร์
สมั
ยใหม่
จาเป็
นต้
องอาศั
ยเครื่
องมื
อสาหรั
บการ
ทดลองให้
นั
กเรี
ยนเข้
าใจปรากฏการณ์
และกระบวนการต่
างๆ ในวิ
ทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
ได้
อย่
างรวดเร็
วและถู
กต้
อง
สาหรั
บวิ
ชาดาราศาสตร์
มี
ลั
กษณะเป็
นนามธรรม อั
นเป็
นผลมาจากระบบที่
ศึ
กษานั้
นใหญ่
มาก จึ
งต้
องใช้
จิ
นตนาการสู
งในการทาความเข้
าใจ ทาให้
นั
กเรี
ยนจานวนมากมี
มโนมติ
ที่
คลาดเคลื่
อนเกี่
ยวกั
บดาราศาสตร์
พื้
นฐาน [1-3]
แนวทางแก้
ปั
ญหาที่
เป็
นที่
ยอมรั
บกั
นอย่
างแพร่
หลายในปั
จจุ
บั
นคื
อการจั
ดการเรี
ยนรู้
แบบสื
บเสาะ (Inquiry
Method) ที่
เปิ
ดโอกาสให้
ผู้
เรี
ยนได้
เผชิ
ญกั
บปั
ญหาโดยครู
กระตุ้
นให้
ผู้
เรี
ยนเกิ
ดคาถาม จากนั้
นผู้
เรี
ยนวางแผนแก้
ปั
ญหาด้
วย
ตนเอง ลงมื
อค้
นหาคาตอบ สร้
างคาอธิ
บาย นาเสนอและอภิ
ปรายจนได้
ข้
อสรุ
ป โดยครู
มี
หน้
าที่
คอยอานวยความสะดวก
ช่
วยเหลื
อให้
ผู้
เรี
ยนค้
นพบความรู้
และสร้
างความรู้
ด้
วยตนเองอย่
างถู
กต้
องจากข้
อมู
ลและหลั
กฐานเชิ
งประจั
กษ์
จากงานวิ
จั
ที่
ผ่
านมายื
นยั
นว่
าการสอนแบบสื
บเสาะช่
วยพั
ฒนาผลสั
มฤทธิ์
ทางการเรี
ยนกลุ่
มวิ
ชาวิ
ทยาศาสตร์
ของผู้
เรี
ยนได้
เป็
นอย่
างดี
[4-5] นอกจากนี้
สถาบั
นส่
งเสริ
มการสอนวิ
ทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
ยั
งได้
ส่
งเสริ
มให้
ครู
จั
ดการเรี
ยนรู้
วิ
ทยาศาสตร์
แบบ
สื
บเสาะ ตามแนววั
ฏจั
กรการเรี
ยนรู้
5 ขั้
น คื
อ ขั้
นสร้
างความสนใจ ขั้
นสารวจค้
นหา ขั้
นอธิ
บาย สรุ
ป ขั้
นขยายความรู้
และ
ขั้
นประเมิ
นผล[6]
อย่
างไรก็
ตามการจั
ดการเรี
ยนรู้
แบบสื
บเสาะในวิ
ชาดาราศาสตร์
ทาได้
ยากโดยเฉพาะการวั
ดขนาดของโลก
เนื่
องจากขาดแคลนอุ
ปกรณ์
การทดลอง และโลกมี
ขนาดใหญ่
มากจาเป็
นต้
องใช้
ผู้
เรี
ยนอย่
างน้
อย 2 คน ที่
อาศั
ยอยู่
บนเส้
ลองจิ
จู
ดเดี
ยวกั
น แต่
อยู่
ห่
างกั
นหลายพั
นกิ
โลเมตรทาการทดลองร่
วมกั
นจึ
งจะประสบความสาเร็
จ จากข้
อจากั
ดดั
งกล่
าว
ครู
ผู้
สอนจึ
งไม่
สามารถจั
ดให้
นั
กเรี
ยนทาการทดลองวั
ดขนาดของโลกได้
ในห้
องเรี
ยน ดั
งนั้
นจึ
งจาเป็
นอย่
างยิ่
งที่
จะต้
องให้
ผู้
เรี
ยนสื
บเสาะหาความรู้
จากชุ
ดทดลองหรื
อแบบจาลอง สอดคล้
องกั
บกั
บความเห็
นของ Catlow [7] ที่
กล่
าวว่
ามนุ
ษย์
จาเป็
นต้
องใช้
แบบจาลองในการทาความเข้
าใจโลกที่
ซั
บซ้
อนซึ่
งพวกเราอาศั
ยอยู่
เช่
นเดี
ยวกั
บนั
กการศึ
กษาอี
กหลายคนที่
แนะนาว่
าการสร้
างแบบจาลองควรจะเป็
นส่
วนแกนของการศึ
กษาวิ
ทยาศาสตร์
เพราะว่
าเป็
นวิ
ธี
การที่
นั
กวิ
ทยาศาสตร์
ใช้
ศึ
กษาธรรมชาติ
และความซั
บซ้
อนของปรากฏการณ์
ธรรมชาติ
[8-9]
ด้
วยเหตุ
นี้
ผู้
วิ
จั
ยจึ
งสนใจที่
จะพั
ฒนาชุ
ดทดลองการวั
ดขนาดโลกสาหรั
บใช้
เป็
นอุ
ปกรณ์
การทดลองหรื
อสื่
ประกอบการสอนในวิ
ชาดาราศาสตร์
เพื่
อให้
ผู้
เรี
ยนมี
ความเข้
าใจที่
ถู
กต้
องและได้
ฝึ
กฝนทั
กษะกระบวนการทางวิ
ทยาศาสตร์
หลั
กการและทฤษฎี
Eratosthenes (276 BC – 195 BC) นั
กวิ
ทยาศาสตร์
ชาวกรี
ก เป็
นบุ
คคลแรกที่
มี
แนวคิ
ดในการวั
ดขนาดของโลก
โดยใช้
ลั
กษณะทางเรขาคณิ
ตระหว่
างโลกและดวงอาทิ
ตย์
ดั
งนั้
น Eratosthenes จึ
งคานวณหามุ
มที่
ลาแสงจากดวงอาทิ
ตย์
ทากั
บเสา [10] จากสมการ
tan
θ
=
ความยาวของเงา ณ
เวลาเที่
ยงวั
ความสู
งของเสา
……………….. (1)
1...,228,229,230,231,232,233,234,235,236,237 239,240,241,242,243,244,245,246,247,248,...300
Powered by FlippingBook